nuffnang

Rainy Day [YuSu]

บทความนี้อาจจะมีฉาก อีโรติก บ้างนะฮะ โปรดใช้จินตนาการในการรับชม ถ้าไม่ชอบก็ปิดหน้านี้ซะ ก๊อปได้นะแต่ให้เครดิตด้วย

Title: Rainy Day
Paring: Yuchun x Junsu
Author: ~#DN_LoveR#~
Author’s Note: และแล้วฟิคเรื่องใหม่ของเบลล์ก็ออกมาแล้ว~!! วู้วววว คิดถึงคนอ่านทุกคนมาก ๆ เลย > < (ก็เอาแต่ดองฟิคมานานนี่เนอะ) ช่วงนี้ที่บ้านฝนตกบ่อยเหลือเกิน ก็เลยได้พล็อตฟิควันฝนตกออกมาจนได้ ^ ^ ตอนแรกว่าจะแต่งเป็นคู่ยุนแจ แต่ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว รู้สึกว่ามันเหมาะกับยูซูกว่าเยอะเลย นี้ก็เป็นอีกครั้งที่กลับมาแต่งอะไรที่มันหวาน ๆ ใส ๆ มันเป็นอะไรที่แต่งยากจริง ๆ ค่ะ เบลล์ติดแต่งฟิคโรคจิตอ่อน ๆ ไม่ก็ติดเรทไปซะแล้วสิ = =” (ทั้ง ๆ ที่ชอบอ่านฟิคหวาน ๆ มากกว่า) ส่วนฟิคเรื่องอื่น ๆ จะทยอยแต่งออกมาเรื่อย ๆ นะคะ เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว เชิญอ่านกันได้ตามสบายเลยนะคะ ^ ^

ปอปาร์ค. ฟิคนี้เป็นฟิคสั้นที่ยาวหน่อยนะคะ (สรุปมันจะให้เป็นฟิคสั้นหรือยาว?)


+:+:+:+:+:+ Rainy Day +:+:+:+:+:+




‘แปะ...แปะ...ซ่า~...’


เสียงหยดน้ำที่ค่อย ๆ หยดลงมาจากท้องฟ้าที่ดูมืดครึ้มในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำมากมายที่พร้อมใจกันเทลงมาสู่พื้นดิน เสียงสายฝนที่ตกลงมาค่อนข้างหนักนั้นส่งเสียงแข่งกับเสียงของนักเรียนภายในโรงเรียนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานหลังจากที่เลิกเรียนกันแล้ว

ถึงแม้ว่าฝนจะตกหนักมากเพียงใด นักเรียนหลาย ๆ คนก็ไม่หวั่นที่จะต้องเดินกลับบ้านไปในสภาพอากาศเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นนักเรียนที่พกร่มมา ทำให้การเดินกลับบ้านนั้นดูจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก มีทั้งเดินกางร่มกลับไปคนเดียวบ้าง เป็นคู่บ้าง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นนักเรียนที่วิ่งฝ่าสายฝนออกไปโดยที่ใช้กระเป๋าของตัวเองเป็นที่กำบังสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุดที่ดูจะช่วยไว้ได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

ภายในอาคารเรียนนั้นก็มีนักเรียนส่วนนึงที่ไม่ได้พกร่มมาและไม่อยากจะฝ่าสายฝนให้ตัวเองเป็นหวัดเลือกที่จะยืนรออยู่หน้าอาคาร รอให้ฝนซาลงกว่านี้แล้วจึงค่อยไป นักเรียนที่คิดแบบนี้ก็มีเยอะอยู่พอสมควร ทำให้หน้าอาคารเรียนในวันนี้ดูจะแออัดกว่าทุก ๆ วันที่ผ่านมา เพราะต่างฝ่ายต่างก็รอช่วงเวลาที่ตัวเองจะได้กลับบ้านกันอย่างใจจดใจจ่อ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินล้วงกระเป๋านักเรียน ใช้แขนข้างหนึ่งหนีบกระเป๋าเรียนของตัวเองเอาไว้เดินลงมาจากชั้นสองของอาคารเรียน ทันทีที่ดวงตาสีนิลหันไปเห็นสภาพหน้าอาคารเรียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทุกวันที่สภาพอากาศแย่เหมือนอย่างวันนี้ ความแออัดภายในโรงเรียนก็จะพลอยเพิ่มขึ้นตามมาทุกที หากแต่ร่างสูงก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจอะไรมากนัก ขาเรียวยาวเดินพาตัวเองมาที่บริเวณตู้ล็อกเกอของตัวเองที่อยู่ตรงบริเวณชั้นล่างเพื่อที่จะเก็บสัมภาระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเองเสียที

...หวังว่าร่มคงจะอยู่ในตู้ล็อกเกอนะ...

ตู้เหล็กขนาดกลางถูกมือเรียวเปิดออกด้วยแรงพอประมาณ และทันทีที่เห็นของภายในตู้ ร่างสูงก็ต้องคอตกด้วยความเซ็งสุดชีวิต...สิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะอยู่ในตู้ล็อกเกอมันกลับไม่มีอยู่ตามที่คิดไว้ สิ่งของที่อยู่ภายในนั้นมีเพียงแค่รองเท้าผ้าใบกับของจุกจิกเล็กน้อยเพียงเท่านั้น

“เฮ้อ...ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้นะ ปาร์คยูชอน”

ร่างสูงบ่นออกมาเบา ๆ พลางปิดตู้ล็อกเกอลงพร้อมกับล็อกให้เรียบร้อย ยูชอนเดินเอื่อย ๆ มาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าอาคารเรียนเช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่น แต่เขาเลือกที่จะยืนอยู่ตรงบริเวณที่มีนักเรียนอยู่บางตา เพื่อไม่ให้ตัวเองนั้นรู้สึกอึดอัดมากจนเกินไปนัก

ยูชอนยืนนิ่ง ทอดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อเล็ก ๆ นักเรียนที่มีอยู่ในตอนแรกเริ่มจะบางตาลงเล็กน้อยเพราะมีบางคนที่เริ่มตัดสินใจที่จะเดินฝ่าสายฝนออกไป บางส่วนก็มีเพื่อนกางร่มเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน หรือบางทีก็อาจจะเป็นแฟนที่เดินกลับบ้านโดยอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันก็มีอยู่เยอะพอสมควร...

...เดินกางร่มกลับบ้านด้วยกัน...งั้นเหรอ?...

พอหันไปเห็นคู่รักเขาเดินกลับบ้านด้วยกันพร้อมใบหน้าที่ถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มแสนสุขแม้ว่าสภาพอากาศจะแย่แบบนี้ก็ตามที มันทำให้เขารู้สึกเซ็งหนักกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ใช่ว่าอิจฉาหรืออยากจะมีแฟนเหมือนกับคนอื่นเขา แต่เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น จนถึงขนาดที่ว่าเขาต้องถอนหายใจพรู่เพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ภายในออกมาเสียแบบนี้

...หรือจะเป็นเพราะว่า...ความ ‘เหงา’ รึเปล่านะ?...


ใช่...ที่เขาเกลียดวันฝนตก...เพราะมันจะทำให้เขารู้สึก ‘เหงา’ เสียจนบอกไม่ถูก...


เสียงพูดคุยของนักเรียนที่เริ่มเบาลง และเสียงเท้าเหยียบน้ำฝนของนักเรียนที่ดังขึ้นมาเป็นระยะนั้นเป็นเหมือนกับสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าผู้คนบริเวณนี้กำลังลดน้อยลงทีละนิด จนกระทั่งในตอนนี้ นักเรียนที่ยังคงยืนอยู่หน้าอาคารเรียนก็เหลือเพียงแค่ร่างสูงกับนักเรียนอีกไม่กี่คนเพียงเท่านั้น หากแต่สายฝนก็ยังไม่ยอมที่จะลดความรุนแรงลงเลยแม้แต่นิด

กลิ่นสายฝนอ่อน ๆ ที่ลอยมากระทบจมูกโด่งได้รูปนั้นชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย ยูชอนยื่นมือออกไปรับน้ำฝนที่ยังคงเทลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนไม่หยุด ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มบางเบาออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาจจะเพราะความเหนื่อยล้าจากการเรียนที่มาทั้งวันได้ลดลงไปบ้างแล้วก็เป็นได้

แต่จู่ ๆ เขากลับรู้สึกเหมือนสายฝนที่กำลังสาดลงมาโดนแขนเขากลับหายไปเสียอย่างนั้น ยูชอนก้มลงมองแขนของตัวเองที่ยื่นออกไปข้างนั้น ในตอนแรกเขาคิดว่าฝนอาจจะหยุดไปแล้ว แต่เสียงสายฝนที่ยังคงดังไปทั่วบริเวณนั้นเป็นสิ่งที่บอกให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดในตอนแรกนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ ใบหน้าคมจึงเงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุด้วยความสงสัย

...ร่ม?...

ร่มพลาสติกใสที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำฝนกำลังกางอยู่เหนือศีรษะของเขา ดวงตาคมกระพริบตาปริบ ๆ สองสามครั้งก่อนจะหันไปมองหาเจ้าของร่มที่กำลังกางร่มให้เขา และทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของ ยูชอนก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ จนทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเขาเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็น

ชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ใบหน้ามนขาวใสถูกล้อมกรอบด้วยผมซอยสั้นสีดำสนิทระต้นคอ ดวงตากลมสีนิลที่ดูใสซื่อกำลังจ้องมองสบตากับเขา จมูกโด่งรั้นที่เข้ากันกับใบหน้าน่ารัก ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจนั้นดูเหมาะกับผู้เป็นเจ้าของใบหน้าจนยูชอนไม่อาจจะละสายตาไปได้เลย…





“ให้ผมไปส่งมั้ยฮะ?”












และนั่นคงจะเป็นครั้งแรก...ที่ยูชอนคิดว่าเขาได้เจอกับ “นางฟ้า”...












.

.

.

.












ทางเดินฟุตบาทริมถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาพร้อมกับกางร่มเพื่อกำบังตัวเองจากสายฝนที่ยังคงไม่ลดความรุนแรงลง ช่วงเวลาหลังเลิกงานและเลิกเรียนแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ปาร์ค ยูชอน ก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเดินกางร่มอยู่ในกลุ่มฝูงคนภายในเมืองใหญ่เพื่อพาตัวเองไปยังสถานที่ที่ซึ่งเป็นเป้าหมายของเขา พร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจะรู้จักได้ไม่ถึงชั่วโมงเสียด้วยซ้ำไป

ร่มพลาสติกใสดูจะเล็กไปหน่อยเมื่อต้องนำมาใช้กำบังร่างให้ผู้ชายสองคนแบบนี้ แต่มันก็ดีกว่าการที่จะไม่มีอะไรมาใช้บดบังสายฝนที่กำลังเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนนี่ เดินไปได้สักพักหนึ่ง ยูชอนก็เลือกที่จะมาหยุดยืนหลบฝนอยู่หน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ด้านในร้านนั้นเต็มไปด้วยลูกค้าที่เขาเดาว่าน่าจะมาอยู่เพื่อรอเวลาฝนซาลงเช่นเดียวกับเขา

ร่างสูงจัดการหุบร่มพลาสติกใสให้เรียบร้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะบริเวณนี้มีผู้คนไม่หนาแน่นเหมือนกับทางเดินที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่ มันทำให้เขารู้สึกหายใจได้คล่องขึ้นเยอะ แต่เมื่อร่างสูงคิดขึ้นได้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของร่มคันนี้ ใบหน้าคมจึงหันไปหาผู้เป็นเจ้าของที่ยืนอยู่ใกล้กันกับเขา

เมื่อยูชอนหันไป สิ่งที่นัยน์ตาคมเห็นคือร่างเล็กของเด็กหนุ่มกำลังปิดตาแน่นพร้อมบิดขี้เกียจไปมาเล็กน้อยเพื่อคลายความปวดเมื่อยตามตัวจากการเดินเบียดเสียดกับฝูงคน ก่อนจะถอนหายใจพรู่ เปลือกตาบางค่อย ๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีนิลที่หลบซ่อนอยู่ภายใน ใบหน้ามนที่ถูกล้อมกรอบด้วยผมซอยสั้นสีดำสนิทตัดกับผิวขาวเนียนเงยขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มและมีสายฝนเทกระหน่ำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วริมฝีปากก็ขยับเผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบา พร้อมกับดวงตาสีนิลที่ยกยิ้มด้วยเช่นกัน

...รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด...

...ภาพตรงหน้าช่างสวยงามจนยูชอนไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เลย...

พอยูชอนรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มข้างกายเขาก็หันมาสบตากับเขาเสียแล้ว ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อย แอบหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายจะรู้หรือเปล่าว่าเขานั้นกำลังแอบมองอยู่ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็แค่หันมามอง ยูชอนก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหมือนเขากำลังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ควรจะขยับมือไปวางตรงไหนเขายังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ร่างสูงยืนขยับแขนขยับมือข้างที่ว่างอยู่อย่างเงอะงะ แต่พอนัยน์ตาคมเห็นว่าอีกฝ่ายเอียงหน้ามองเขาความสงสัย ยูชอนถึงจะเพิ่งสำนึกได้ว่าเขาไม่ควรจะทำท่าทีประหลาดแบบนี้ต่อหน้าเด็กหนุ่มไปมากกว่านี้ มือที่ขยับไปมาอย่างไร้จุดหมายเลยถูกเลื่อนมาวางไว้ที่ต้นคอขาวของตัวเอง ก่อนจะขยับลูบต้นคอไปมาพร้อมกับหลบสายตาอีกฝ่ายด้วยการหันไปมองบรรยากาศวันฝนตกที่ไม่ได้มีภาพอะไรที่สวยงามเหมาะแก่การดูเลยสักนิด

...เวลาคนเราเขินก็คงจะเป็นแบบนี้สินะ?...


“เอ่อ...ฉันว่า...ยืนหลบฝนอยู่ตรงนี้...ก่อน...ดีกว่า...นะ”

ยูชอนพูดตะกุกตะกักเสียจนแม้แต่เขาเองยังอยากจะตบปากตัวเองซะเดี๋ยวนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเอาแต่แสดงท่าทางเปิ่น ๆ แบบนี้ออกมาเวลาอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ ที่จริงเขาอยากจะใช้ดวงตาคมคู่นี้ของเขาจดจ้องและจดจำใบหน้าของคน ๆ นี้ที่ใจดีอาสาพาเขามาส่ง แต่เหมือนสิ่งที่ใจต้องการกับการกระทำมันจะไม่ยอมสอดคล้องกันเสียเลย เพราะเพียงแค่เขาเหลือบมาเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นก็มองมาที่เขา นัยน์ตาคมก็เมินหนีกลับไปมองสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเสียอย่างนั้น

...เปิ่นกว่านี้มีอีกมั้ยเนี่ยห๊ะ...ปาร์คยูชอนเอ๊ย...


“คือ...ฝนมันตกหนักไปนะ...ฉันว่า...เอ่อ...”

“อื้ม ผมว่าก็ดีนะ ยืนหลบฝนอยู่ตรงนี้ก่อนคงจะดีกว่าจริง ๆ แหละ”

เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นคนช่วยให้ยูชอนสามารถพูดจบประโยคได้อย่างเสียที ร่างสูงหันมามองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ภาพใบหน้ามนที่กำลังยกยิ้มมาให้เขา รวมกับดวงตากลมเป็นประกายที่สบตากับดวงตาของเขา...มันทำให้คำพูดทุกอย่างมันถูกกลืนลงไปเสียหมด ดวงตาคมกระพริบปริบ ๆ ก่อนที่ร่างสูงจะยกยิ้มที่ติดจะเขินนิด ๆ พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับอีกฝ่ายไป

...เกิดมาก็เพิ่งจะรู้นี่ล่ะ...

...ว่าอาการ ‘ทำตัวไม่ถูก’ มันเป็นยังไง...


“นาย...ชื่ออะไรเหรอ?”

ยูชอนเอ่ยถามพร้อมกับรวบรวมความกล้าที่จะมองสบตากับอีกฝ่ายตรง ๆ ประกายในดวงตาสีนิลที่งดงามราวกับกลุ่มดวงดาวนั่นมันทำให้เขาอยากจะให้ภายในนั้นมีภาพสะท้อนของเขาเสียเหลือเกิน คนโดนถามที่ได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้มก่อนที่จะตอบร่างสูงกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยูชอนคิดว่ามันเป็นน้ำเสียงที่น่าฟังเป็นที่สุด

“จุนซู ผมชื่อ คิม จุนซู”

ตอบเสร็จก็ยกยิ้มกว้างจนตาหยี โดยที่เจ้าของรอยยิ้มไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นมันทำให้ยูชอนไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เลย...นอกจากจะจดจ้องอยู่ที่รอยยิ้มอันสดใสนั่น รอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา...

“แล้วคุณชื่ออะไรหรอ?”

ร่างเล็กเริ่มเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง เหมือนสมองของร่างสูงจะรับรู้อะไรได้ช้าลงเสียอย่างนั้น กว่าที่ยูชอนจะตีความความหมายของประโยคคำถามนั่นได้ และกว่าที่เขาจะสำนึกได้ว่าเขาควรจะตอบอีกฝ่ายกลับไปได้ จุนซูก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าคมด้วยความสงสัยว่าร่างสูงได้ยินสิ่งที่ตนพูดหรือไม่ไปเสียเรียบร้อย...ทำเอาผู้เป็นเจ้าของใบหน้าคมแทบจะผละหนีออกมาแทบไม่ทันเลยล่ะ

...เขินจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว...


“ยูชอน...เอ่อ ปาร์ค ยูชอน น่ะ”

ร่างสูงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ยูชอนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่น้อยที่ไม่สามารถจะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้เลย จุนซูที่ได้ยินแบบนั้นก็มองหน้าเขาตาแป๋วเสียจนยูชอนรู้สึกไม่มั่นใจ นี่เขาทำอะไรผิดอะไรรึเปล่า? หรือว่าเขาแสดงท่าทีออกไปมากเกินว่าเขากำลังเขิน? ทำไมจุนซูถึงต้องมองเขาแบบนั้นกันด้วยนะ?...

แต่ร่างสูงก็ต้องพับเก็บทุกความสงสัยกลับไปไว้ที่เดิมเสียหมด...เมื่อจุนซูยิ้มกว้างตอบกลับมาให้เขา


บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น...ทั้งสองไม่มีการเอื้อนเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาอีก จุนซูยืนพิงหลังไปกับกระจกหน้าร้านกาแฟเช่นเดียวกับกันร่างสูงที่อยู่เคียงข้างกัน

ใบหน้ามนเงยขึ้นทอดสายตามองไปยังสายฝนที่ตกลงมายังเบื้องล่างครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างเล็กยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น สูดดมกลิ่นสายฝนอ่อน ๆ ที่ลอยมากระทบจมูกโด่งรั้นที่ชวนให้รู้สึกสดชื่น พร้อมกับฟังเสียงสายฝนที่ตกลงกระทบกับวัตถุเบื้องล่าง เปลือกตาบางค่อย ๆ เลื่อนลงมาบดบังดวงตากลมอย่างช้า ๆ แล้วใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่รับรู้ถึงบรรยากาศที่เกิดขึ้นโดยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ความรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นที่กำลังก่อตัวไปทั่วร่างกายของเขามันทำให้ริมฝีปากสีชมพูเผยยิ้มบางเบาออกมาอย่างมีความสุข

“เวลาที่ฝนตก...ผมว่าอากาศมันสดชื่นมากเลยนะ...”

คำพูดลอย ๆ ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบนั่นกลับเรียกความสนใจจากยูชอนได้เป็นอย่างดี ยูชอนละสายตาจากทิวทัศน์รอบเมืองกลับมามองที่ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั่นแทน เปลือกตาสีน้ำนมยังคงเลื่อนลงมาบดบังดวงตากลมเช่นเดิม ใบหน้าขาวเนียนที่ถูกล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีดำสนิท รวมกับสภาพอากาศภายนอกที่ทำให้สภาพทิวทัศน์ในวันนี้ค่อนข้างจะมืดครึ้มนั้น ยิ่งทำให้ใบหน้ามนดูขาวใสยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า และรอยยิ้มบางเบาที่ถูกฉาบอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กนั่น...ไม่ว่าใคร หากได้มาเห็นภาพตรงหน้านี้ต่างก็ต้องรับรู้ได้ว่าคน ๆ นี้รู้สึกมีความสุขมากเพียงใด

...ภาพที่สวยงามราวกับเป็นภาพวาดจากจิตรกรชื่อดัง...

...ภาพอันสวยงามที่ยูชอนอยากจะให้มันเป็นอยู่เช่นนี้...

...ไม่อยากให้ภาพตรงหน้านี้เลือนหายไปจากเขาเลยจริง ๆ...


“นั่นสินะ...”

ดวงตากลมสีนิลถูกเผยให้เห็นอีกครั้งเมื่อเจ้าของดวงตาได้ยินเสียงทุ้มตอบกลับมา จุนซูหันไปมองใบหน้าคมด้วยแววตาที่เหมือนกับกำลังมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ แต่พอหันไปปุ๊บ ยูชอนกลับเบือนหน้าหนีหันไปมองอีกทางหนึ่งเสียอย่างนั้น ก่อนที่ร่างสูงจะทำเป็นผิวปากอย่างสบายใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างเล็กมองอีกฝ่ายที่หันหน้าไปอีกทางอยู่เช่นเดิม เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าที่เขาหันมามองอีกฝ่ายนี่เขากำลังต้องการจะพูดอะไร เหมือนคำพูดทั้งหมดมันจะติดอยู่ที่ริมฝีปาก มันมีเยอะเสียจนไม่รู้จะพูดคำ ๆ ใดออกมาก่อนดี แต่...พอได้เห็นว่ายูชอนทำเป็นเบือนหน้าหนีแล้วผิวปากกลบเกลื่อนการมองสบตากับเขา...แทนที่เขาควรจะโกรธหรือสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมมองหน้าคนที่ยืนคุยอยู่ด้วยกันแบบนี้...

...เขากลับหลุดยิ้มออกมาแทนเสียอย่างนั้น...

รอยยิ้มสดใสยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าน่ารัก จุนซูหันหน้ากลับไปมองทิวทัศน์รอบเมืองเหมือนอย่างเดิม สายฝนที่เริ่มซาลงเล็กน้อยกลายเป็นสิ่งเรียกร้องความสนใจแก่ร่างเล็กแทน มือเรียวข้างหนึ่งยื่นออกไปรับน้ำฝนที่เทตัวลงมาจากฟากฟ้า ความเย็นของหยดน้ำจำนวนมากแผ่ซ่านไปทั่วประสาทสัมผัสชวนให้รู้สึกเย็นสบาย รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากสีชมพูขยับเผยยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยความรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ตนกำลังได้รับรู้และได้สัมผัส

...แต่จุนซูนั้นกลับไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด...

...ว่าตัวเองนั้น...ยังคงถูกสายตาคมจดจ้องอยู่ตลอดเวลา...

ถึงร่างสูงจะเบือนหน้าหนี แต่นัยน์ตาคมก็ยังเหลือบมามองอีกฝ่ายอยู่ตลอด ตั้งแต่ตอนที่จุนซูหลุดยิ้มออกมา...เขาเห็นทุกอย่าง เห็นว่ารอยยิ้มนั้นมันดูสดใสมากเพียงใด เห็นว่าดวงตากลมสีนิลนั่นมีประกายแห่งความสุขฉายออกมาชัดเจนเพียงใด และก็ได้รับรู้...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพฤติกรรมของจุนซูนั้น...มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขจนไม่อาจจะกลั้นยิ้มเอาไว้ได้เลย

ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของทั้งสองอีก ต่างฝ่ายต่างยืนเงียบราวกับปล่อยให้ตัวเองอยู่ในห้วงความคิดของตน มีเพียงแค่เสียงจากสายฝนที่ตกลงกระทบเบื้องล่างที่ดังก้องไปทั่วบริเวณเพียงเท่านั้นที่ยังทำให้ที่นี่ไม่เงียบจนเกินไปนัก ละอองฝนที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณชวนให้รู้สึกสดชื่นจนบางทีอาจจะทำให้รู้สึกหนาวยังคงไม่จางหาย หากแต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเด็กหนุ่มสองคนนี่มากนัก


...ทั้ง ๆ ที่อากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น...

...และสายฝนก็ยังคงเทกระหน่ำไม่ยอมหยุดจนทำให้ไม่สามารถไปไหนได้...



...แต่ในวันนี้...

...แม้ว่าสภาพอากาศจะค่อนข้างย่ำแย่...


...ยูชอนกลับคิดว่า...



...วันนี้เป็นวันที่อากาศดี...และอบอุ่นยิ่งกว่าวันไหน ๆ เสียอีก...










.

.

.

.










ช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างช้า ๆ และล่วงเลยมาจนกระทั่งสายฝนที่เทกระหน่ำนั้นหยุดลง หากแต่สำหรับยูชอนแล้ว ในตอนนี้ห้วงเวลามันช่างผ่านพ้นไปเร็วเสียจนเขารู้สึกเสียดาย อยากจะให้ฝนตกนานกว่านี้อีกสักนิด เพื่อที่เขาจะได้ยืนอยู่ตรงนี้ใกล้ ๆ กันกับเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งจะคุยกันได้ไม่ถึงสิบประโยคเลยด้วยซ้ำ

“ฝนหยุดตกแล้วล่ะ”

เสียงแหบนิด ๆ ของจุนซูดังขึ้น ยูชอนทำเพียงแค่ยกยิ้มบางให้อีกฝ่าย พร้อมกับคืนร่มพลาสติกให้กับผู้เป็นเจ้าของ ขาเรียวก้าวพาร่างตัวเองออกมาจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดครึ้มเช่นเดียวกับคราแรก ก่อนที่จะหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังตนอีกครั้ง พลางเสียงทุ้มก็ดังขึ้น

“งั้นฉันกลับก่อนล่ะ วันนี้...ขอบคุณมากนะ”

“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก...นี่ก็ค่ำแล้ว กลับบ้านดี ๆ นะ”

ร่างเล็กยกยิ้มพร้อมโบกมือลา ยูชอนยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นโบกกลับอย่างช้า ๆ ขาเรียวก้าวเดินพาตัวเองไปตามเส้นทางกลับบ้านของตนอย่างช้า ๆ แม้ว่าเขาจะก้าวขาพาตัวเองห่างไกลจากตำแหน่งเดิมไปไกลเรื่อย ๆ แต่ใบหน้าคมกลับหันกลับไปมองยังที่ ๆ เดิม...ที่ ๆ มีใครอีกคนยืนอยู่ที่เดิม ที่ ๆ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งสายตาของเขาไม่อาจจะมองเห็นที่แห่งนั้นได้อีก

ทุกย่างก้าวที่กำลังผ่านพ้นไปนั้นมันยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เขาอยากจะอยู่กับใครคนนั้นมันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหากแต่ช่างยาวนานในความรู้สึก ร่างสูงก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ทว่า...ความรู้สึกเวลาที่ได้กลับบ้านในวันนี้มันกลับแปรเปลี่ยนไปเสียจนเขายังสงสัยว่าตอนนี้เขากำลังเป็นอะไรกันแน่

...กลับถึงบ้านแล้ว...

...หากแต่ใจนั้นกลับไม่ได้มาพร้อมกันกับเขา...

กว่าที่ยูชอนจะรู้สึกตัวอีกที เขาก็มานั่งพิงหัวเตียงพร้อมยืดขาอยู่บนเตียงนุ่มในห้องนอนของตัวเองเสียแล้ว กระเป๋านักเรียนคู่ใจก็ถูกโยนทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่เขาไม่ค่อยจะได้ยุ่งอะไรกับมันเท่าไรนัก ใบหน้าคมเสมองไปยังหน้าต่างใสที่ยังมีหยดน้ำใสเกาะอยู่เล็กน้อย และไร้ซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ

...การที่ได้รู้จักกับใครสักคนเป็นครั้งแรก...

...มันสามารถทำให้เราคิดถึงเขาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?...

ไม่ใช่ว่ายูชอนไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มันเรียกว่าอะไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจีบคนอื่น แต่...เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมการที่เขาได้เจอกับจุนซู เขาถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเงอะงะขนาดนี้ ทำไมเขาถึงอยากจะเห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้ามนนั่นมากถึงขนาดนี้ และทำไม...เขาถึงต้องคิดถึงคนที่ตัวเองเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงวันนึงเสียด้วยซ้ำมากถึงเพียงนี้?

...แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองนั้นรู้สึกชอบอีกฝ่ายมากขนาดไหน...

...แต่เขากลับรู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายชื่อ ‘คิม จุนซู’ เท่านั้น...


“...ทำไมแกมันโง่แบบนี้วะ ปาร์ค ยูชอน”

ใช่ว่าเขาจะอ่อนประสบการณ์เรื่องการจีบคนอื่น...แต่ครั้งนี้เขากลับทำพลาดหมดทุกอย่าง จากปกติที่มักจะขอเบอร์โทรศัพท์มือถือตั้งแต่วันแรกที่เขารู้สึกสนใจใครเป็นพิเศษ ในวันนี้เขากลับลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียด้วยซ้ำ แล้วตอนที่ฝนหยุดตก แทนที่เขาจะอาสาเดินกลับบ้านเป็นเพื่อนจุนซู...เขาก็ดันขอตัวกลับบ้านก่อนเสียอย่างนั้น

...แกนี่มันโง่จริง ๆ เลย ปาร์ค ยูชอน!...

มือหยาบยกขึ้นขยี้หัวตัวเองไปมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเปลี่ยนท่าจากนั่งเป็นนอนยืดแข้งยืดขาในสภาพหัวที่ยุ่งเหยิง ดวงตาคมเหม่อมองไปรอบห้อง ด้วยความรู้สึกที่เหมือนตัวเองจะเห็นภาพใบหน้าของใครคนนั้นลอยขึ้นมาอยู่เสมอจนเขาต้องค่อย ๆ ขยับเปลือกตาลงบดบังนัยน์ตาไว้ไม่ให้ตัวเองรู้สึกคิดถึงใครคนนั้นไปมากกว่านี้

แต่...เมื่อทำเช่นนั้น ยูชอนกลับรู้สึกได้ว่าภาพใบหน้ามนที่กำลังยกยิ้มกว้างนั้นมันกลับยิ่งเด่นชัดราวกับกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเขา เด่นชัด...จนไม่อยากจะให้ภาพนี่เลือนหายไปจากสายตาเขาเลยจริง ๆ

...ดวงตากลมสีนิลเป็นประกายที่ดูสวยงาม...

...รอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปากสีชมพูที่ส่งไปถึงดวงตากลมคู่นั้น...


...ภาพที่เด่นชัดในความทรงจำ...จนทำให้ใจเขาเต้นระรัวในในยามที่คิดถึง...


มือเรียวยกขึ้นทาบทับเปลือกตาหนา ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับภาพของความทรงจำและบรรยากาศในเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาที่เด่นชัดในความรู้สึก...ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะขยับยิ้มบางเบาออกมาด้วยความรู้สึกมีความสุขและอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ...


...ถ้าหากการหลับตาลง...

...มันจะทำให้เราเห็นภาพของใครสักคน...ที่ทำให้เราคิดถึง...

...ภาพของใครสักคน...ที่ทำให้ใจของเราพองโตได้เช่นนี้...



...บางที...

...ผมอาจจะอยากหลับตาตลอดไปก็ได้นะ...



+:+:+:+:+:+ Rainy Day +:+:+:+:+:+



การเรียนการสอนที่เป็นเฉกเช่นเดิมทุกสัปดาห์นั้นช่างเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับเด็กนักเรียนหลาย ๆ คน ช่วงเวลาที่ล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงเวลาเลิกเรียนนั้นคือสิ่งที่เหล่านักเรียนต่างเฝ้ารอคอยจนสมาธิในการเรียนที่มีอยู่น้อยนิดนั้นมลายหายไปสิ้น

และแน่นอน...หนึ่งในนักเรียนเหล่านั้นนั้นจะต้องมีชื่อ ปาร์ค ยูชอน รวมอยู่ด้วยเสมอ

แต่...ในวันนี้มันกลับต่างออกไป...วันนี้ยูชอนไม่ได้ฟุบหลับลงกับโต๊ะเรียนเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่กลับนั่งเท้าคางหันหน้าเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์นอกอาคารผ่านกระจกบานใสที่อยู่ไม่ไกลจากเขานัก ดวงตาคมทอดมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนที่ตอนนี้เริ่มจะแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าครามเป็นสีเทาหม่น ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ถึงสภาพอากาศอันย่ำแย่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

...ทั้ง ๆ ที่สภาพอากาศเป็นเช่นนั้น...

...แต่ริมฝีปากอิ่มกลับยกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข...

เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยคำพูดของอาจารย์ประจำวิชาอีกสองสามประโยคที่ดังขึ้นปิดการเรียนการสอนในคาบสุดท้ายนี้ให้เรียบร้อย และทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้องไป เสียงนักเรียนต่างก็พากันดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกลุ่มนักเรียนที่ค่อย ๆ บางตาลงเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา

แต่...ยูชอนกลับยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม


“วันนี้...ฝนจะตกอีกมั้ยนะ”

เสียงทุ้มเอ่ยกับตัวเองแผ่วเบา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงพร้อมกับกระเป๋านักเรียนคู่ใจที่ถูกแขนเรียวหนีบไว้แนบกับลำตัว ขาเรียวที่รับกับรูปร่างเดินพาตัวเองไปยังตู้ล็อกเกอซึ่งเขาเป็นเจ้าของเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำก่อนกลับบ้าน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม...ก็คงจะเป็นใบหน้าคมที่มีร่องรอยของรอยยิ้มประดับอยู่อย่างเห็นได้ชัด

...วันนี้จะได้เจอกับจุนซูอีกมั้ยนะ?...

...เฮ้อ~...อยากเจออีกชะมัดเลยแหะ...


“วันนี้จะต้องเดินไปส่งจุนซูให้ได้เลย คอยดู”

ร่างสูงบ่นกับตัวเอง ก่อนที่จะมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้ล็อกเกอ มือเรียวจัดการเปิดตู้ล็อกเกอด้วยความมั่นใจเต็มร้อยที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ตู้เหล็กถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เพื่อที่เขาจะหยิบสิ่งที่ต้องเป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจในวันนี้ นั่นก็คือ...ร่ม!




...แต่...

...ตู้ล็อกเกอ...กลับว่างเปล่าซะอย่างนั้น...



“เฮ้ย!!!”

ยูชอนร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นสภาพภายในนั่น มันว่างซะจนเขายังอยากจะตบหัวตัวเองหลาย ๆ ทีให้กับความติงต๊องของตัวเอง ยูชอนยืนอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่ายืนคอตกอย่างหมดอาลัยตายอยาก...นี่เขาทำพลาดอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย?

และเหมือนสวรรค์จะกลั่นแกล้งเขาอีกครั้ง เมื่อเสียงสายฝนกำลังดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนทั่วบริเวณโรงเรียน ยูชอนยกยิ้มแหยกับสภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ มือเรียวจัดการปิดตู้ล็อกเกอลง แล้วร่างสูงก็เดินลากเท้าในสภาพคอตกพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าอาคารเรียนที่วันนี้มีเด็กนักเรียนยืนอยู่ไม่เยอะเท่าไรนัก

...แล้ววันนี้ฉันจะได้เจอจุนซูมั้ยเนี่ย?...

ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า...เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจุนซูนั้นอายุเท่าไหร่ ตอนนี้เขาก็อยู่ไฮสคูลปีสามแล้ว จุนซูจะอายุเท่ากับเขา หรือจะอายุน้อยกว่าเขาก็ไม่รู้ เรียนอยู่ห้องไหนก็ไม่รู้ เบอร์โทรศัพท์มือถือเบอร์อะไรก็ไม่รู้ สรุป...เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่างนอกจากเด็กหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่า คิม จุนซู

...ไร้ซึ่งหนทางที่จะไปตามหาตัว...

...ปาร์คยูชอนเศร้าครับงานนี้...


“ลืมพกร่มมาหรอฮะ?”

เสียงแหบนิด ๆ ที่คุ้นเคยดังแว่วมากระทบใบหูของยูชอนเข้าอย่างจัง นัยน์ตาคมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะตามด้วยใบหน้าคมที่หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็ว มองหาใบหน้าของเจ้าของเสียง...ที่เขาจำได้อย่างแม่นยำและเฝ้านึกถึงมาตลอด

...นี่ไม่ใช่ความฝันใช่มั้ย?...

เจ้าของใบหน้ามนที่ยูชอนเฝ้าคิดถึงกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ กับร่างสูง พร้อมกับร่มคันเดิมที่เคยใช้กำบังพวกเขาทั้งสองจากสายฝนที่เทกระหน่ำในคราก่อน จุนซูกำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขา รอยยิ้มบางเบา...ที่ทำให้ยูชอนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวนั้นมันดูสดใสจนเขาอยากจะให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไปเสียเหลือเกิน

“เอ่อ...อื้ม ฉันลืมพกร่มมาอีกแล้วล่ะ”

ยูชอนยิ้มแหยพลางยกมือขึ้นลูบหัวไปมาอย่างรู้สึกอาย จุนซูที่ได้ยินแบบนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ร่มพลาสติกใสถูกกางออกด้วยฝีมือของร่างเล็ก ขาเรียวเดินพาตัวเองขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงมากกว่าเดิมอีกเล็กน้อย พลางเลื่อนร่มของตัวเองขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขาทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าคมด้วยรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่ง

“งั้นเดี๋ยวผมพาไปหลบฝนกันที่เดิมละกันนะ”

ภาพใบหน้าน่ารักที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในระยะที่ใกล้ชิดกันกว่าปกตินั้นมันทำให้ยูชอนใจเต้นโครมครามจนกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะได้ยินเสียงหัวใจของตน ร่างสูงพยายามที่จะควบคุมไม่ให้ตัวเองแสดงอาการเขินอายออกมาทางสีหน้าและท่าทางออกมาให้จุนซูได้เห็น นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่อีกครู่หนึ่ง...เพื่อที่จะจดจำใบหน้ามนที่แสนสดใสนี้เอาไว้...ในความทรงจำที่เขาอยากจะเก็บมันไว้ตลอดชีวิต...

“อื้ม งั้นเดี๋ยวฉันกางร่มให้แทนละกัน”

ว่าจบ ยูชอนก็จัดการแย่งร่มจากผู้เป็นเจ้าของมาถือแทนซะเอง ซึ่งจุนซูก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา มีแต่จะคอยส่งรอยยิ้มมาให้เขาตลอดเสียด้วยซ้ำ

ขาเรียวสองคู่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากตึกเรียนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางบรรยากาศภายนอกที่มืดครึ้ม พร้อมกับสายฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน ร่มพลาสติกถูกใช้เป็นสิ่งกำบังไม่ให้ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองต้องเปียกชื้นจากสายน้ำที่ยังคงเทลงมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สภาพอากาศที่ย่ำแย่เช่นนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว...แต่ในวันนี้มันกลับไม่มีผลอะไรสำหรับยูชอนเลยแม้แต่นิด...


...ฝนตกเหมือนเดิม...

...ร่มคันเดิม...

...เดินเบียดกันในร่มกับจุนซูเหมือนเดิม...



...แต่...

...มันสุขใจยิ่งกว่าวันไหน ๆ เสียอีก...










.

.

.

.










ใช้เวลาสักพักหนึ่งทั้งสองก็มาหยุดยืนหลบฝนกันที่หน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ ร้านเดิม ระหว่างนั้นยูชอนกับจุนซูก็คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยเป็นการฆ่าเวลาไปเล่น ๆ และยูชอนก็เพิ่งจะได้รู้ว่าจุนซูนั้นเป็นรุ่นน้องของเขาก็วันนี้นี่ล่ะ...ก็ว่าทำไมตอนคุยกับเขาถึงใช้คำพูดสุภาพกับเขานัก

“นี่นายอยู่ปี 2 เหรอ?”

“ใช่ฮะ”

“เอ่อ...ที่จริง นาย...ไม่ต้องพูดสุภาพกับฉันมากนักก็ได้นะ”

“เอ๋?”

ยูชอนสะดุ้งทันทีที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นเผลอพูดอะไรออกไป นัยน์ตาคมเบิกกว้างพร้อมกับรีบหันไปมองใบหน้าของคนที่อยู่ข้างกายทันที และมันแทบจะทำให้ยูชอนช็อกตาย เพราะตอนนี้จุนซูกำลังหันมามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้ไม่มีผิด

...โดนจุนซูสงสัยแหงเลย ปาร์ค ยูชอน เอ๊ย T T...

ยูชอนเบือนหน้าหนีจากอีกฝ่าย พลางเลื่อนมือมากุมศีรษะตัวเองไว้ด้วยความกังวล อยากจะตบกะโหลกตัวเองสักสิบ ๆ ครั้งเพื่อเป็นการลงโทษที่พูดอะไรไม่คิดนี่เสียจริง แต่เขาก็รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นมีหวังจุนซูก็จะยิ่งสงสัยเขายิ่งกว่าเดิมเป็นแน่ พอคิดได้แบบนั้นยูชอนก็ยิ่งคิดหนักยิ่งกว่าเดิม บอกให้รุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันว่าไม่ต้องสุภาพกับรุ่นพี่อย่างตัวเองนักแบบนี้ เป็นใครใครจะไม่สงสัยบ้างวะเนี่ย?

จุนซูกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง ดวงตากลมจ้องมองรุ่นพี่ที่ยืนทำหน้าเครียดเสียจนเขาแทบจะเครียดตามด้วยความสงสัย ภาพที่เห็นคือยูชอนกำลังยืนเอามือปิดหน้าปากก็ขยับยุบยิบเหมือนกับกำลังบ่นอะไรอยู่สักอย่าง จุนซูยืนมองท่าทางแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากชมพูจะแอบยกยิ้มบางโดยที่ยูชอนนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็น



“เอ่อ...จุนซู...คือ...ฉัน...”


“ฮะ พี่ยูชอน”



.

.

.



...พี่ยูชอน...
...พี่ยูชอน...
...พี่ยูชอน...
...พี่ยูชอน...
...พี่ยูชอน...



...นี่ฉันไม่ได้หูแว่วไปใช่มั้ยเนี่ย?...

นัยน์ตาคมเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินจุนซูเรียกตัวเองเช่นนั้น มือหยาบที่ยกขึ้นปิดหน้าถูกปล่อยลงข้างตัวอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง ก่อนที่ใบหน้าคมจะค่อย ๆ หันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“พี่ยูชอนมีอะไรหรอ?”

“เมื่อกี้นี่...นาย...”

“ทำไมหรอพี่ยูชอน?”

“ก็......เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

ว่าจบ ยูชอนก็เบือนหน้าหนีกลับไปอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพราะอะไรหรอก...นอกจากอาการที่เรียกว่า ‘เขิน’ มันกำลังตรงเข้าจู่โจมเขาโดยตรง ตอนนี้เขาไม่กล้าสบตากับจุนซู ไม่กล้าหันไปมองหน้าจุนซูตรง ๆ หัวใจมันเต้นโครมครามเสียจนเขาเจ็บร้าวไปทั้งอก แถมเขายังรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าของเขานั้น...มันร้อนผิดปกติซะด้วยสิ

...‘พี่ยูชอน’...งั้นเหรอ...

...ฮึ่ย...เขินเว้ยยย!!!...

...นายทำให้ฉันดีใจมากขนาดไหน...รู้ตัวบ้างมั้ย?...จุนซู...

ร่างสูงหันไปเขินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งเมื่อจุนซูเริ่มเปิดประเด็นเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคุยเสียจนยูชอนแทบจะตอบกลับไม่ทัน บางทีพวกเขาก็หัวเราะไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าบทสนทนานั้นมันก็ไม่ได้น่าขำอะไรมากนัก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองนั้นมีความสุขมากเพียงใด

...บทสนทนามากมายยังคงหลุดออกมาจากริมฝีปากทั้งสอง...

...ในขณะที่ห้วงเวลายังคงเดินต่อไป...

...พร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ...

เสียงสายฝนที่เริ่มแผ่วเบาลงอย่างช้า ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าฝนเริ่มซาลงแล้ว ซึ่งสำหรับยูชอนนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเขาห่อเหี่ยวลงในทันที เพราะวันนี้ฝนไม่ได้ตกหนักเหมือนกับเมื่อวานนี้...นี่ฝนตกแค่ชั่วโมงกว่าก็หยุดเสียแล้ว ทำเอายูชอนเซ็งไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฝนหยุดตกแล้วล่ะ”

ร่างเล็กพูดเอ่ยในขณะที่ดวงตากลมจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนที่ยังคงเป็นสีเทาหม่นอยู่ ยูชอนที่เห็นดังนั้นจึงก้าวขาเรียวพาตัวเองเดินออกมาจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อยก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก ใบหน้าคมหันกลับมามองใบหน้าของรุ่นน้องอีกครั้งหนึ่ง พลางยกยิ้มบางเบาอย่างที่เขามักจะชอบทำอยู่เสมอ

“งั้น...ฉันกลับก่อนนะ”

“ฮะ พี่ยูชอน ไว้เจอกันใหม่นะครับ”

จุนซูยกยิ้มให้ยูชอนเหมือนอย่างเคย ร่างสูงพยักหน้าเป็นการตอบกลับ ยูชอนสบตากับจุนซูอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มเปิดเล็กน้อยเหมือนกับกำลังจะพูดอะไรสักอย่างก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นปิดลงเช่นเดิม ร่างสูงทำเช่นนั้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะหันหลังให้รุ่นน้องพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองไปมาเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง จุนซูกระพริบตาปริบ ๆ พลางเอียงคอมองท่าทางพฤติกรรมแปลก ๆ ของรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกสงสัยที่เริ่มก่อตัวขึ้น

...พี่ยูชอนเป็นอะไรน่ะ?...

มือหยาบยกขึ้นทึ้งหัวตัวเองไปมาอย่างสุดจะทน ทั้งอายทั้งหงุดหงิดตัวเองจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะพูดในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ แต่พอเห็นใบหน้ามนกับดวงตากลมสีนิลนั่น เขาก็รู้สึกเหมือนหน้าตัวเองมันเริ่มจะร้อนแถมใจก็เริ่มเต้นแรงเสียจนควบคุมแทบไม่อยู่ สุดท้าย...ก็ต้องมายืนหันหลังทำท่าทางน่าสงสัยต่อหน้ารุ่นน้องอีกจนได้

...แค่ขอเบอร์โทรศัพท์มันยากขนาดนี้เลยเหรอวะ?...

ยูชอนสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ ในขณะที่จุนซูยังคงจ้องมองอยู่ด้านหลังด้วยความสงสัย ร่างสูงหันขวับกลับมาสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่ได้สบตากับดวงตาใสซื่ออีกครั้ง มันทำให้ความกล้าที่ยูชอนปลุกขึ้นมาเกือบจะละลายหายไปเสียหมด แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วที่จะพูดในสิ่งที่เขาคิดและต้องการบอกออกมาให้จุนซูรับรู้ให้ได้

“จุนซู คือ...”

“ฮะ?”

“คือฉัน...ฉันขอ...เอ่อ...”

ยูชอนพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก รู้สึกเหมือนลิ้นมันพันกันจนไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี แถมไอ้ความกล้าที่เหลืออยู่น้อยนิดมันกำลังจะมีความอายเข้ามาแทรกแทนจนจะทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว

...อ๊ากกกกกกกกก!!!....

...เขิน!...เขินชะมัดเลยเว้ย!!!!...

จุนซูมองยูชอนที่ยืนค้างตาแป๋ว รอฟังสิ่งที่ยูชอนจะพูดด้วยความสงสัย พฤติกรรมธรรมดาปกติของร่างเล็กที่เจ้าตัวนั้นไม่เคยรู้เลยว่ามันทำให้ร่างสูงยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ ทั้งสองนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“จุนซู เอ่อ... / พี่ยูชอน”

ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะชะงักไปนิดนึง ต่างฝ่ายต่างพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะเผลอพูดออกมาพร้อมกันอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ฉันขอเบอร์นาย... / ผมขอเบอร์พี่ยูชอนหน่อยได้มั้ยฮะ?”

คำพูดที่สื่อความหมายเหมือนกันมันทำให้ทั้งสองเงียบไปอีกครั้ง จุนซูยังคงมองรุ่นพี่ด้วยสายตาเช่นเดิม ผิดกับยูชอนที่เบิกตากว้าง กระพริบตาปริบ ๆ กับสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา หัวสมองที่มักจะชาญฉลาดในเรื่องการจีบสาวตอนนี้กลับตื้อเสียจนต้องแปลความหมายประโยคเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาเสียหลายรอบเลยทีเดียว

...ไปแคะหูตอนนี้ยังทันมั้ย?...

...ตะกี้ฉันหูแว่วไปรึเปล่า?...

...เมื่อกี้...จุนซูขอเบอร์ฉันงั้นเหรอ?...


“ม่ะ...เมื่อกี้นี้...”

“ผมขอเบอร์พี่ยูชอนหน่อยได้มั้ยฮะ?”

จุนซูถามทวนพลางหยิบมือถือของตนขึ้นมา ยูชอนที่เริ่มตั้งสติได้เผลอยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...รู้สึกก้อนเนื้อในอกซ้ายมันเต้นระรัวอีกแล้วแหะ

“อื้ม...ได้สิ”

ยูชอนบอกเบอร์โทรศัพท์ของตนไป เมื่อจุนซูจัดการเก็บบันทึกไว้เรียบร้อย ร่างเล็กก็จัดการกดหยอดไปหาผู้เป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์เสียทีหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนอย่างเช่นทุกวัน

“ขอบคุณนะฮะ”

ร่างสูงยกยิ้มบางเป็นการตอบกลับเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ดวงตาคมจ้องมองภาพใบหน้าน่ารักนั่นด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความเอ็นดู ใบหน้ามนที่ถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม...ภาพ ๆ นี้มันทำให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันดูสดใสขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด สดใสเสียจนเขาไม่อยากจะให้รอยยิ้มนั้นมันหายไปเลยจริง ๆ

...แต่...ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า...

...เขารู้สึกว่าใบหน้าน่ารักนั่น...ดูจะขึ้นสีชมพูนิด ๆ...

...จุนซู...กำลังเขินงั้นเหรอ?...

...เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ?...


“งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ฮะ”

ยูชอนโบกมือลา ก่อนจะเดินจากร่างเล็กที่กำลังโบกมือตอบ ขาเรียวก้าวเดินพาตัวเองไปตามเส้นทางที่จะกลับไปสู่บ้านตนเองอย่างช้า ๆ สายตาคมกวาดมองทิวทัศน์รอบเมืองที่คุ้นเคยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เฉกเช่นบรรยากาศรอบกายที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เสียงก้าวเดินที่ดังขึ้นเบา ๆ ในทุกย่างก้าวที่ฝ่าเท้าได้ก้าวย่ำลงไปนั้นถูกกลบด้วยเสียงรถราที่กำลังขับผ่านไปมา กลิ่นไอฝนยังคงหลงเหลือให้รู้สึกชื่นใจราวกับเป็นตัวแทนที่ทำให้เขาหวนคิดถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เพิ่งลากันมาได้เพียงไม่กี่นาที ห้วงเวลาที่กำลังหมุนวนไปอย่างช้า ๆ นั้นยูชอนรู้สึกราวกับว่ามันได้ก้าวเดินไปช้ายิ่งกว่าทุก ๆ วันราวกับมันได้หยุดลงเพื่อคงความรู้สึกที่เขากำลังมีอยู่ในตอนนี้ไม่ให้เลือนหายไปเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมที่กำลังเผยออกมาให้เห็นอย่างช้า ๆ...


...คุณครับ...

...ผมควรจะทำยังไงดี...



...ตอนนี้...ผมหุบยิ้มไม่ลงแล้วล่ะครับ...



+:+:+:+:+:+ Rainy Day +:+:+:+:+:+



ห้วงเวลาที่ยังคงก้าวเดินต่อไปนั้นทำให้ท้องฟ้าสีฟ้าครามนั้นแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าที่มืดมิดเสียแล้ว ร่างสูงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียงนุ่มในห้องนอนของตัวเองอยู่เงียบ ๆ สายตาคมก็จ้องมองโทรศัพท์มือถือเครื่องบางที่ถูกตั้งไว้อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะมองมันหรอกนะ...แต่เขานั่งนิ่ง ๆ มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจนเกือบจะครบชั่วโมงได้แล้วล่ะ

“เอาไงดีวะ...”

พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดโดยที่สายตาก็ยังมองอยู่ที่เดิม ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง พยายามจะคิดทบทวนแล้วทบทวนอีกว่าตอนนี้เขาควรจะทำแบบไหน ตัดสินใจแบบไหนมันถึงจะทำให้ทุกอย่างนั้นออกมาดีที่สุด และไม่ทำให้เขาเกิดอาการประหลาดบ้าบอเหมือนกับครั้งก่อน ๆ อีก

...จะลองโทรไปหา...

...หรือว่าจะส่งข้อความไปดีเนี่ย?...


“เรื่องแค่นี้ทำไมมันถึงยากนักนะ...”

ร่างสูงทึ้งหัวตัวเองไปมา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนด้วยความหงุดหงิด กะอีแค่เรื่องง่าย ๆ แถมมีตัวเลือกให้สามข้อ โทรไปหา ส่งข้อความ หรือไม่ทำทั้งสองอย่าง เรื่องง่าย ๆ ที่คนอย่างเขาก็เคยผ่านประสบการณ์มามากพอสมควร แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน พอเขาตัดสินใจกำลังจะลงมือโทรหา เสียงใสยามเรียกชื่อเขาที่มันอยู่ในความทรงจำมันก็ดังก้องขึ้นมาจนไม่กล้าที่จะโทรหา เพราะกลัวว่าถ้าเกิดได้ยินเสียงจริง ๆ มีหวังเขินจนพูดอะไรไม่ออกแน่ ๆ หรือถ้าจะส่งข้อความไป พอกำลังจะลงมือพิมพ์ ภาพใบหน้าน่ารักของรุ่นน้องที่ดันโผล่แว่บขึ้นมามันก็ทำให้เขาเขินหนักมากกว่าเดิมซะอย่างนั้น สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงโดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยสักอย่าง

...ปาร์ค ยูชอน เครียดครับ!...


“...เอาวะ ลองซ้อมดูก่อนละกัน”

ว่าแล้วยูชอนก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือสุดรักขึ้นมาแนบหูเหมือนกับกำลังจะโทรไปหาจุนซูจริง ๆ ร่างสูงสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะทำการซ้อมบทพูดตามที่ตัวเองนึกไว้ดูอย่างช้า ๆ

“ฮัลโหล...”


...พอหลังจากนี้ก็ต้องถามว่าว่างคุยมั้ย...

ยูชอนนึกประโยคถัดไปไว้เรียบร้อย แต่หลังจากที่พูดประโยคทักทายทางโทรศัพท์ไป เขาก็จินตนาการนึกถึงเสียงตอบรับจากปลายสาย เสียงใส ๆ ที่เขาจำได้อย่างแม่นยำราวกับมันกำลังดังอยู่ข้างกายนั้นดังก้องวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในหัวของเขานั้นมันทำให้เขาต้องพยายามควบคุมสติและความกล้าเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘ฮัลโหล พี่ยูชอน’
‘ฮัลโหล พี่ยูชอน’
‘ฮัลโหล พี่ยูชอน’
‘ฮัลโหล พี่ยูชอน’





...หมดสิ้นซึ่งความพยายาม...

...ปาร์คยูชอนทนต่อไปไม่ไหวแล้วครับ...


“อ๊ากกกกก แกจะเขินทำไมนักวะห๊ะ!!!”

ด่าตัวเองไปสักที ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนดิ้นไปมาเหมือนเด็ก มือเรียวยังคงกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง รับรู้ได้เลยว่าอุณหภูมิที่ใบหน้าของตัวเองมันสูงผิดปกติมากขนาดไหน

...เพียงแค่นึกถึงใบหน้าน่ารักนั่น...

...เพียงแค่นึกถึงเสียงใส ๆ นั่น...

...เพียงแค่นึกถึงดวงตาใสซื่อคู่นั้น...

...ทำไมเขาต้องเขินมากขนาดนี้ด้วยนะ?...


“สงสัย...คืนนี้คงจะไม่กล้าโทรไปหาแหง...”

เสียงทุ้มพูดออกมาเบา ๆ น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมายที่แม้แต่เขายังนึกสงสัยว่าเขาเคยพูดน้ำเสียงเช่นนี้ออกมาด้วยหรือ ยูชอนถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง...นี่เขาควรจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้รึไงนะ?

พลันอุปกรณ์สื่อสารภายในมือก็สั่นขึ้นมาทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นนั่ง เลื่อนสายตาคมไปยังหน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูว่ามีใครโทรมาหาเขา

...ข้อความ?...

ผิดจากที่เขาเดาเอาไว้นิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขารู้สึกว่าเขาอยากจะเปิดข้อความนี้ดูเร็วยิ่งกว่าครั้งไหนเสียอีก นิ้วเรียวจัดการกดเปิดข้อความอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าทำไมใจมันถึงเต้นระรัวยามที่นึกว่าเนื้อความภายในข้อความจะเป็นอย่างไร...และมาจากใครกัน


‘คืนนี้อากาศเย็นอีกแล้ว...อย่าลืมนอนห่มผ้าดี ๆ นะฮะ > <

ฝันดีนะฮะ พี่ยูชอน ^ ^


จาก...จุนซู’



...ข้อความสั้น ๆ...

...แต่เขากลับหุบยิ้มไม่ลง...

รู้สึกหัวใจพองโตจนแน่นไปทั้งอก เหมือนได้รับการเติมเต็มจนสุขใจอย่างประหลาด ทันทีที่ได้อ่านเนื้อความภายในข้อความนี่...และยิ่งได้รู้ว่าใครเป็นคนส่งมาให้ ริมฝีปากมันก็ยกยิ้มขึ้นเองเสียอย่างนั้น ทั้งดีใจและมีความสุขจนพูดอะไรไม่ออก มันจุกจนแทบจะเอ่อล้นออกมานอกอก ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าข้อความเพียงแค่นี้มันจะทำให้เขารู้สึกดีได้มากถึงเพียงนี้

และน่าแปลก...ที่ข้อความนี้มันกลับทำให้เขาอยากจะโทรไปหาอีกฝ่ายได้มากถึงขนาดนี้

นิ้วเรียวจัดการกดเบอร์โทรของคนที่ส่งข้อความมาหาเขาที่เขาจำได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ที่เพิ่งได้มาไม่นาน ก่อนจะจัดการกดโทรออก พลางเลื่อนสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นแนบหู โดยที่ใบหน้ายังคงถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมสุขยิ่งกว่าคราใด

“ฮัลโหล...จุนซู”


...บทสนทนามากมายได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ตลอดค่ำคืน...

...พร้อม ๆ กับสายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ...




...บางที...เขาก็นึกสงสัย...

...ทำไม...เพียงแค่เขาได้ยินเสียง ๆ นี้...


...เสียงใส ๆ...ที่แฝงไว้ด้วยความร่าเริงนี่...


...ทำไม...เขาถึงหุบยิ้มไม่ลงเสียทีนะ...


+:+:+:+:+:+ Rainy Day +:+:+:+:+:+


วันเรียนวันสุดท้ายของสัปดาห์นั้นช่างเป็นวันที่สดใสสำหรับเด็กนักเรียนหลาย ๆ คน ช่วงเวลายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกิจกรรมของนักเรียนที่ยังคงเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกวัน จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน นักเรียนหลายคนก็แหกปากตะโกนชวนกันไปเที่ยวบ้าง ชวนกับกลับบ้านบ้าง หรือบางคนอาจจะมีกิจกรรมของชมรมอยู่ก็แยกตัวกันไปทำงานตามหน้าที่ของตน

ยูชอนก็เป็นคนหนึ่งที่มีภารกิจที่ชมรมในวันนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปทำงานกลุ่มหรืออะไรหรอกนะ แต่วันนี้เขาได้รับหน้าที่ให้ไปทำความสะอาดห้องของชมรมให้เรียบร้อย ซึ่งที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะทำนักหรอก...ปาร์คยูชอนกับการทำความสะอาด มันเข้ากันซะที่ไหนล่ะ?

ยูชอนต้องเสียเวลาไปมากโขกับการที่ต้องทำความสะอาดห้องชมรมเพียงคนเดียว เพราะเพื่อนสุดที่รักแต่ละคนก็ทำการฝากความหวังไว้ที่เขาแล้วออกไปท่องเมืองเล่นกันเหมือนเดิม กว่าเขาจะทำเสร็จ เวลามันก็ล่วงเลยจนเกือบจะถึงหกโมงเย็นเลยทีเดียว

ประตูห้องชมรมถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนที่เข้าไปเป็นคนสุดท้าย ยูชอนเดินทอดน่องตรงไปยังชั้นล่างเพื่อจะกลับบ้านพร้อมกระเป๋าเรียนบางเฉียบคู่ใจ สายตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ ภายในตัวอาคารที่ตอนนี้แทบจะไม่มีนักเรียนอยู่เลยสักคน พลางกวาดตามองผ่านกระจกบานใสตรงบริเวณทางเดิน ท้องฟ้าที่น่าจะเป็นสีแสดในยามเย็นกลับมืดหม่น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังจะมีฝนตกอีกในไม่ช้านี้

...ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นเหมือนมองดูสภาพอากาศรอบ ๆ...

...หากแต่ใจเขากลับไม่ได้สนใจถึงเรื่องนี้เลยสักนิด...


“หกโมงแล้วแหะ...”

เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา รู้สึกเหมือนกับใบหน้าน่ารักที่เฝ้าคิดถึงมันลอยขึ้นมาในห้วงความคิด วันนี้เขายังไม่ได้พบเจอกับเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่ทำให้เขามีความสุขเลย...นึกแล้วมันก็รู้สึกโหวง ๆ ในอกยังไงก็ไม่รู้สิ

...เย็นป่านนี้แล้ว...จุนซูคงจะกลับไปแล้วล่ะนะ...

ยูชอนถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้าวเดินต่อ ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็เดินลงมาถึงชั้นล่างของตึก ต่อจากนั้นก็เดินตรงไปยังตู้ล็อกเกอของตัวเองเหมือนอย่างเช่นทุกวัน จัดการหยิบร่มพับของตัวเองออกมาด้วยสายตาที่ค่อนข้างเหม่อลอย...ทำไมเขาถึงรู้สึกเหงาแปลก ๆ นักนะ

...หรือเพราะรู้ว่าวันนี้เขาคงจะไม่ได้เดินกลับบ้านกับจุนซูเหมือนอย่างเคยนะ...

เสียงสายฝนที่เริ่มดังมากระทบโสตประสาทการรับฟังของเขานั้นเรียกความสนใจจากเขาได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อาจเพราะหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมาก็เป็นได้ ร่างสูงเดินออกจากตำแหน่งเดิมออกมายังบริเวณหน้าอาคารเรียนเพื่อจะกลับบ้านเหมือนอย่างนักเรียนคนอื่นบ้าง

...แต่ทันทีที่เขาเดินมาถึงหน้าอาคารเรียน...

...เขาก็ต้องหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งตรงนั้นอย่างห้ามไม่ได้...

ภาพด้านหลังของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นมันทำให้เขาแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับภาพทิวทัศน์ภายนอกมันจะหายไปหมดจนเหลือเพียงภาพแผ่นหลังของอีกคนหนึ่ง แผ่นหลังเล็กที่เขาจำได้อย่างแม่นยำแม้ว่าจะได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้ง แผ่นหลังเล็กที่เขาจำได้อย่างแม่นยำว่ายามที่มันสั่นเทาเพราะอากาศที่หนาวเย็นในวันฝนตกนั้นมันทำให้เขาอยากเข้าไปโอบกอดมากเพียงใด

“จุนซู...”

แม้ว่าเสียงทุ้มจะพูดออกมาแผ่วเบา แต่เจ้าของชื่อนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน ใบหน้ามนหันกลับมามองตามทางต้นเสียง ทันทีที่ดวงตากลมเห็นใบหน้าของเจ้าของเสียง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ทำให้ยูชอนใจเต้นระรัว ดวงตากลมเป็นประกายที่ทำให้เขาหลงรัก...ใบหน้ามนที่เขาเฝ้าคิดถึงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริง ๆ

...ทำไมป่านนี้จุนซูถึงยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ?...


“พี่ยูชอน มาแล้วหรอฮะ”

จุนซูเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้ายูชอน ระยะห่างที่ใกล้กว่าวันก่อน ๆ นั้นมันทำให้ยูชอนใจเต้นระรัว ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าจุนซูคงจะกลับบ้านไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าวันนี้คงจะไม่ได้เจอจุนซูแน่ ๆ...พอได้มาเจอกับจุนซูจริง ๆ แล้วมันดีใจจนเขาไม่รู้จะพูดยังไงดี เหมือนมันจุกอยู่ในอก ดีใจจนริมฝีปากมันเผลอยกยิ้มขึ้นมาเองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้...เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าของใบหน้ามนนี่

“จุนซู ทำไมนายถึง...”

“อะไรหรอฮะ?”

“เอ่อ...ทำไมนายถึงยังไม่กลับบ้านล่ะ”

“อ๋อ วันนี้ผมลืมพกร่มมาอ่ะ แหะ ๆ”

จุนซูยกมือขึ้นลูบผมนิ่มไปมาแก้เขิน ท่าทางน่ารักนั่นทำให้ยูชอนหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย มันชวนให้เขานึกถึงในวันแรกที่เขาได้เจอกับจุนซู วันที่เขาลืมพกร่มมาแล้วต้องมายืนแกร่วรอให้ฝนหยุดตก ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้เจอกับจุนซู กว่าเขาจะได้กลับบ้านก็คงจะดึกเลยทีเดียว

“แล้วทำไมจุนซูไม่กลับกับเพื่อนล่ะ?”

ยูชอนเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจเขานึกสงสัยเช่นนั้นจริง ๆ นี่ก็เย็นมากแล้ว แทบจะไม่มีนักเรียนอยู่ภายในโรงเรียนแล้ว ทำไมจุนซูถึงไม่ยอมกลับไปพร้อมเพื่อน ทำไมถึงยืนหลบฝนอยู่คนเดียวแบบนี้นะ?

“ก็...”

จุนซูพูดลากเสียงในคำแรกแล้วก็เงียบไป ดวงตากลมหลุบต่ำลง ชวนให้ยูชอนรู้สึกสงสัย แต่สิ่งที่ทำให้ยูชอนสงสัยหนักยิ่งกว่าเดิมก็คงจะเป็นใบหน้ามนที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ภาพตรงหน้ามันทำให้ใจของเขามันเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม เหมือนใจมันกำลังคาดหวังกับคำพูดของอีกฝ่าย คำพูดนั้นมันจะเป็นเช่นไร มันจะเป็นตามที่เขาหวังไว้รึเปล่านะ

“...ผมรู้ว่าพี่ยูชอนคงจะมารับผม ผมก็เลยรอน่ะฮะ”

พูดเสร็จใบหน้ามนก็ก้มลงหลบสายตารุ่นพี่อย่างรวดเร็ว คางมนแทบจะแนบติดไปกับแผ่นอกบาง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้าสบตา ไม่กล้าที่จะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลที่ดูอบอุ่นยามที่จ้องมองมาที่เขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้านี้ก็คือรุ่นพี่คนหนึ่งก็เท่านั้นเอง

ยูชอนที่ยืนฟังอยู่นั้นยืนนิ่ง หากแต่ก้อนเนื้อในอกซ้ายนั้นมันเต้นเร็วและแรงยิ่งกว่าครั้งใด รู้สึกเหมือนความรู้สึกทั้งหลายที่มันรวมตัวกันนั้นมันแทบจะเอ่อล้นออกมานอกอก ประโยคที่เขาเพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่มันวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับกรอเทปกลับ ดวงตาคมจ้องมองไปยังรุ่นน้องที่ก้มหน้างุดนิ่ง...เขาละสายตาไปจากคนตรงหน้าไม่ได้ ไม่ใช่เป็นการสั่งงานจากสมอง แต่มันกลับเป็นใจของเขาที่ไม่อยากจะละสายตาไปจากคนตรงหน้าเลยจริง ๆ

เสียงสายฝนที่ดังไปทั่วบริเวณนั้นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้บรรยากาศระหว่างยูชอนและจุนซูเงียบจนเกินไปนัก กลิ่นไอสายฝนอบอวลไปทั่ว ความเย็นจากสภาพอากาศเช่นนี้มันกลับไม่ได้ส่งผลกับทั้งสองเลยแม้แต่นิด...ตรงกันข้าม...พวกเขากลับรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าวันไหนเสียอีก...

“จุนซู”

เจ้าของชื่อยังมีความรู้สึกว่าไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายเลยจริง ๆ หากแต่ความรู้สึกลึก ๆ มันกลับอยากพูดคุยกับรุ่นพี่เหมือนอย่างวันที่ผ่าน ๆ มา เผื่อว่าจะมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มบางที่มักจะอยู่บนใบหน้าคมอีกสักครั้ง ใบหน้ามนจึงเงยหน้าขึ้นมองสบตากับอีกฝ่ายจนได้

หากแต่เมื่อเขาตัดสินใจทำแบบนั้น ริมฝีปากของเขาก็แนบเข้ากับริมฝีปากอิ่มของคนเป็นรุ่นพี่ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยูชอนไม่ได้ทำการรุกล้ำใด ๆ นอกจากแนบริมฝีปากกับรุ่นน้องเพียงเท่านั้น ดวงตาคมหลับตาพริ้ม รับรู้ถึงสัมผัสจากอีกฝ่ายที่เขาได้รับมาให้ได้มากที่สุด จุนซูหน้าขึ้นสีระเรื่อ สัมผัสอ่อนโยนราวกับสายฝนที่กำลังทำให้ใจของเขาชุ่มชื้นนั้นมันทำให้เขาต้องหลับตาลงอย่างช้า ๆ รู้สึกเหมือนมีความรู้สึกอะไรบางอย่างมันก่อตัวขึ้นภายในใจจนมันเต็มตื้นไปทั้งอก

...มีเพียงแค่ริมฝีปากที่สัมผัสกันเนิ่นนาน...

...และความรู้สึกผูกพันระหว่างหัวใจสองดวงที่รู้สึกไม่ต่างกัน...


ยูชอนผละริมฝีปากออกอย่างช้า ๆ เปลือกตาหนาค่อย ๆ เปิดขึ้นจ้องมองใบหน้ามนที่ซับสีระเรื่อก่อนจะยกยิ้มบาง จุนซูก้มหน้างุดแถมยังเสหน้าหลบรุ่นพี่ไปอีกทางหนึ่ง ท่าทางที่ใครดูก็รู้ว่ากำลังเขินนั้นมันยิ่งทำให้ยูชอนยกยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“กลับบ้านกันดีกว่าเนอะ”

เสียงทุ้มพูดขึ้นมาพลางจัดการกางร่มให้เรียบร้อย จุนซูเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าคม รอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่เขาสัมผัสได้นั้นมันทำให้เขาต้องหันหน้าหนี แต่เขาก็ขยับมายืนภายใต้ร่มคันเดียวกัน ยูชอนหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะก้าวเดินกลับบ้านไปพร้อมกันกับรุ่นน้องที่ยังคงไม่ยอมหันหน้ามามองเขาเสียที...


...สายฝนยังคงเทตัวลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน...

...เหมือนกับวันก่อน ๆ ที่ได้ผ่านพ้นมา...



...แต่การที่ได้เดินกางร่มกลับบ้านกับใครสักคนที่เฝ้าคิดถึง...

...เดินเบียดกันใต้ร่มคันเดียวกัน...ถึงแม้ว่าต่างฝ่ายอาจจะเปียกบ้างเล็กน้อย...


...แต่มันกลับทำให้รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นในหัวใจจนยากที่จะอธิบาย...






ใช่...ผมเคยบอกว่าผมเกลียดวันฝนตก...


แต่ผมว่า...ตอนนี้...










วันฝนตก...มันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ















THE END ^///^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น