nuffnang

Love is All Around [YunJae]

บทความนี้อาจจะมีฉาก อีโรติก บ้างนะฮะ โปรดใช้จินตนาการในการรับชม ถ้าไม่ชอบก็ปิดหน้านี้ซะ ก๊อปได้นะแต่ให้เครดิตด้วย

Title: Love is All Around
Paring: Yunho x Jaejoong
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: ฟิคนี้ตอนแรกแต่งเป็นคู่คังทึก แต่ว่าอยากให้แคสได้อ่านฟิคเรื่องนี้ด้วย ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ชั่นยุนแจให้ได้อ่านกัน ^ ^ เป็นฟิคที่แต่งไว้นานมาก~แล้ว สำหรับฟิคเรื่องนี้เบลล์ขอนำเสนอสุดใจขาดดิ้น เพราะเป็นเรื่องที่แต่งแล้วดูจะมีสาระดีที่สุด =_=” แก้ไขภาษาให้ดีขึ้นจากแบบคู่คังทึกนิดนึง และมันก็เป็นความบังเอิญที่ลงตัว ว่าตัวละครมี 5 คนพอดี ไม่ขาดไม่เกิน เอิ๊ก ๆ เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ขอให้สนุกกับฟิคเรื่องนี้นะคะ~


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+



ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...

ช่วงเวลาในยามค่ำคืน ที่ผู้คนต่างพากันหลับใหลเพราะเหนื่อยล้ากับการเผชิญกิจกรรมต่าง ๆ ในยามเช้ามามากมาย แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กห้องหนึ่ง กลับมีชายหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งกำลังลงมือเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ลงบนกระดาษด้วยลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในห้องนั้นเงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงของนาฬิกาเท่านั้นที่ทำให้ห้องนั้นไม่เงียบจนเกินไป

มือเรียวที่ขยับไหวไปมาเพราะการเขียนหนังสือ เขียนสักพัก มือนั้นก็หยุดนิ่ง ก่อนจะเลื่อนปากกามาทาบไว้ที่แก้มอย่างใช้ความคิด มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนแว่นสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะลงมือเขียนอีกครั้ง ไม่นานนัก มือเรียวก็วางปากกาแท่งนั้นลงบนกองกระดาษหนาปึกนั่น แว่นสายตาถูกถอดออก และถูกนำไปวางไว้บนกองกระดาษนั่นเช่นกัน แผ่นหลังบางเอนไปกับพนักพิงของเก้าอี้เพื่อคลายความอ่อนล้า

“เฮ้อ~...ในที่สุดก็เขียนจบซะที...”

แจจุงยืนขึ้นเต็มความสูง พลางเหยียดแขนและบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปไม่กี่ก้าว แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้นอย่างอ่อนล้า ดวงตากลมโตเหลือบไปมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาในตอนนี้

“ตี 2 ?....นี่เรานั่งเขียนจนถึงป่านนี้เชียว”

แจจุงถอนหายใจยาว มือเรียวเกาหัวตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ร่างบางพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหนื่อยก็เหนื่อย อยากจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยเต็มที...แต่ทำไมกลับนอนไม่หลับซะทีนะ?

...เหมือนกับว่าเขากำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่...

ความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนชื่อดังในตอนวัยรุ่น ตอนนี้เขาได้ทำให้มันเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเขาจะเขียนนิยายเรื่องใดออกขาย ยอดขายมักจะดีเกินคาดเสมอ เรียกได้ว่าวางขายปุ๊บก็หมดภายในวันเดียวเลยก็ว่าได้ แต่...พอเขาเริ่มดังในฐานะนักเขียนแล้ว เขาก็ต้องขังตัวเองอยู่ในห้องแทบจะทุกวัน บังคับให้ตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ ออกมาขายเรื่อย ๆ ช่วงเวลาเกือบทั้งวันเขาแทบจะไม่ได้พบหน้าคนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว

ร่างบางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมาอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาบดบังภาพตรงหน้าเสียจนมืดมิด ต้องทนเหนื่อยมาเป็นเวลานาน....แต่พอได้พัก กลับหลับไม่ลงซะอย่างนี้ ทำให้แจจุงต้องพยายามข่มตาเพื่อที่จะพักผ่อนให้ได้

...ฉันจะย้อนเวลากลับไปได้มั้ยนะ...

...เวลา....ที่ฉันยังมีอิสระ....

...เวลา....ที่ฉันยังได้รับสิ่งที่เรียกว่า “รัก”....


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


ร่างบางที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางที่เขามักจะไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ เพราะมักจะนอนหลับอยู่เสมอ แต่คืนนี้เขากลับนอนไม่หลับ แจจุงเลื่อนตัวลงจากเตียง ก่อนจะก้าวขาไปยังห้องอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย

ไม่นานนัก แจจุงก็อยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ เสื้อยืดสีชมพูอ่อน กับกางเกงยีนส์สีเข้มที่เขามักจะใส่อยู่ประจำ ขาเรียวเดินลงมาจากชั้นสอง ระหว่างทางเดินก็ผ่านโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีพ่อ แม่ และชางมินน้องชายของเขากำลังร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันอยู่

“อรุณสวัสดิ์ฮะ ผมขอออกไปเดินเล่นสักหน่อยนะ”

แจจุงพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่คนสามคนที่กำลังจะรับประทานอาหารกลับหันขวับมาจ้องเจ้าของเสียงกันอย่างรวดเร็ว แจจุงหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ประจำมาใส่ ก่อนจะเปิดประตูบ้านเดินออกไป

‘ปัง’

ถึงแม้ว่าประตูจะปิดไปแล้ว แต่สมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็ยังคงจ้องที่อยู่ประตูบ้านกันตาค้าง พอเริ่มได้สติ ก็หันมามองหน้ากันอยู่สามคนด้วยความงุนงง ก่อนที่ลูกชายคนสุดท้องจะโผล่งคำพูดออกมาเสียดังลั่น

“พี่แจจุงตื่นตอนเช้า....แถมยังออกมาจากห้องให้เห็นหน้าอีก...เหลือเชื่อ!?”

ชางมินพูดอย่างตกใจและทึ่งสุด ๆ ผู้เป็นพ่อแม่พยักหน้าเห็นด้วยกันสุด ๆ ก่อนจะร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันตามปกติ และมีหัวข้อสนทนาประจำวันนี้ก็คือ ‘แจจุง’ นั่นเอง...


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


บรรยากาศช่วงเช้าตรู่แบบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็พากันมาเดินเล่น สูดอากาศที่แสนสดชื่นยามเช้ากันซะส่วนใหญ่ บางส่วนก็มาออกกำลังกายยามเช้า ภาพบรรยากาศที่แสบอบอุ่นที่เขาไม่ได้เห็นซะนานนี้ มันช่างชวนให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีตเสียจริง

ขาเรียวพาร่างของตัวเองเดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างช้า ๆ มือสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋า ค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เขามีเวลาออกมาเดินเล่นแบบนี้ก็เรียกว่ามหัศจรรย์ได้แล้วล่ะ ขาเรียวหยุดกึก ใบหน้าหวานเงยขึ้น ดวงตากลมโตจดจ้องท้องฟ้าเบื้องบนที่เป็นสีฟ้าคราม สีอ่อน ๆ ที่ดูสบายตา ทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

...ไม่ได้ยิ้มแบบนี้....นานขนาดไหนแล้วนะ...

แต่แล้วบรรยากาศที่แสนจะชื่นมื่นสดใสสำหรับเขาก็ต้องดับลง เมื่อจู่ ๆ หัวของแจจุงก็ถูกมือของใครสักคนผลักซะเต็มแรง จนหัวของเขาแทบคว่ำ มือบางถูกเลื่อนมากุมหัวบริเวณที่โดนผลักซะเต็มที่ ก่อนจะหันขวับไปจ้องหน้าคนที่มาทำแบบนี้กับเขา

“ไอ้......!!!!!!!!!!” เสียงหวานพูดออกมาเสียงดัง แต่ก็ต้องเงียบและอึ้งทันที เมื่อเห็นคนตรงหน้า

“แจจุง!!!!! นี่นายจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย!?” คนตรงหน้าพูดอย่างตกใจ

“จุนซู! นายจริง ๆ ด้วย!” แจจุงพูดอย่างดีใจ ก่อนจะถลาเข้าไปกอดเพื่อนรักของเขาซะแน่น จุนซูก็เช่นกัน กอดตอบเพื่อนรักซะแน่นด้วยความคิดถึง ทั้งสองกอดกันไปมา ยิ้มกันอย่างร่าเริงสุด ๆ โดยไม่ได้สนใจคนที่มาด้วยกันกับจุนซูเลยสักนิด...

“แจจุง! ฉันล่ะตกใจจริง ๆ ที่เห็นนาย สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกแหง ๆ”

“......”

“อ้าว ปากเหรอนั่น อะไรว่ะ ก็แค่ออกมาเดินเล่นบ้างแค่เนี่ย”

“......”

“ก็ตั้งแต่นายเป็นนักเขียน ฉันแทบจะไม่เห็นหัวนายเลยนี่ ดูดิ โทรศัพท์ก็มี ไม่หัดโทรมาหาฉันบ้างเล้ย~”

“......”

“โอ๋ ๆ ขอโทษ~ ก็ฉันต้องรีบเขียนต้นฉบับส่งนี่นา~”

“......”

“เออ แล้วเนี่ย นายรู้รึยังว่า.....”


“เอ่อ........ขอโทษนะครับ”


เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้บทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองต้องชะงัก แจจุงหันไปจ้องมองใบหน้าเจ้าของเสียงนั่น เรียกได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ใบหน้าคม ดวงตากลมโตที่ดูมีเสน่ห์ กลุ่มผมสีดำขลับที่ดูตัดกับสีผิว จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มที่แฝงความขี้เล่นมาให้แจจุง แจจุงจึงยิ้มตอบกลับไป

“อ๊ะ ลืมแนะนำไป แจจุง นี่ยูชอน แต่ไม่ต้องไปญาติดีกับมันนักหรอกนะ”

จุนซูแนะนำคนข้าง ๆ อย่างขอไปที และทำหน้าเมินใส่ ทำเอายูชอนทำหน้างอนใส่ แจจุงที่ยืนมองอยู่ก็เป็นอันต้องหัวเราะร่วนกับคู่ตรงหน้า

“ยินดีที่ได้รู้จักนะยูชอน นายคงจะเหนื่อยแย่เลยที่มาเป็นแฟนกับจุนซูเนี่ย”

แจจุงพูดเสร็จก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่ แถมยังมียูชอนขำเป็นลูกคู่ด้วยอีกต่างหาก เพราะคำพูดของแจจุงนี่ล่ะ ทำให้จุนซูที่ปกติจะหน้าหนาผิดปกติจากคนทั่วไป เป็นอันต้องหน้าแดงบ้างก็คราวนี้แหละ

“แจจุง!!!! หนอยยย....ไม่ได้เจอกันนาน พัฒนาฝีปากขึ้นเยอะเชียวนะนาย”

จุนซูแผดเสียงเรียกเพื่อนรักเสียงดังลั่น แถมยังมีการใช้คำพูดจิกกัดให้เป็นการแถม ทั้ง ๆ ที่ควรจะโกรธ แต่แจจุงกลับหัวเราะหนักเข้าไปอีก ทำให้จุนซูยิ่งฉุนมากกว่าเดิมอีกละสิคราวนี้

แต่ก่อนที่จะเกิดศึกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด(?)กันในยามเช้าแบบนี้ ยูชอนเลยจัดการล็อกแขนของจุนซูไว้ เพื่อป้องกันการอาละวาดโลมาสุดโหดซะก่อน เสียงโวยวายที่ดังลั่นมาจากกลุ่มของพวกเขา เรียกให้ผู้คนหันมาจ้องกันจนเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นเกาหลีมุงซะแล้ว

“ฮะ ๆ ฉันขอโทษ ๆ ฉันก็แค่หยอกนายเล่นเท่านั้นเองอะ อย่าโกรธฉันเลยน้า~”

แจจุงส่งสายตาวิ๊บวั๊บออดอ้อนให้เพื่อนรักหายงอนอย่างน่ารัก ทำเอาจุนซูที่กำลังจะอาละวาดนั้นชะงักกึก ยูชอนปล่อยให้คนน่ารักของเขาเป็นอิสระ จุนซูไอกระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือไปไขว้หลัง และทำหน้าเคร่งเครียด

“ฮึ เห็นว่าไม่ได้เจอกันนานหรอกนะ ฉันจะไม่โกรธก็ได้ พ่อนักเขียนชื่อดัง!”

จุนซูจงใจเน้นเสียงท้ายประโยคเป็นการประชด แต่แจจุงก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าคนอย่างจุนซูนะ ถึงจะทำเป็นโหด แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่เห็นหรอก แขนเล็กเลื่อนไปโอบไหล่เพื่อนรักอย่างคุ้นเคย แจจุงและจุนซูหันมาสบตากันสักพัก ก่อนจะหลุดขำออกมาพร้อมกันทั้งคู่ ทำเอายูชอนอดที่จะอมยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้

...ได้เห็นภาพยูริยามเช้าเนี่ย....มันมีความสุขแบบนี้นี่เอ๊ง~~...


“เฮ้อ~ ที่จริงฉันก็อยากจะคุยกับนายต่อน่ะนะ แต่วันนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วละ ไว้จะโทรไปหาละกัน”

จุนซูพูดพร้อมกับดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจพรืดอย่างเซ็ง ๆ แจจุงส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร

“ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปทำงานเหอะ ยูชอน ฉันฝากดูแลจุนซูด้วยนะ ^ ^”

ร่างบางพูดพร้อมกับจับมือของยูชอนและจุนซูให้มาประสานกันไว้ คนหน้าหล่อส่งยิ้มมาให้แจจุงจนแก้มแทบปริ แต่คนน่ารักกลับส่งสายตาอาฆาตมาอย่างรุนแรงจนแจจุงแทบจะวิ่งหนีไปซะเดี๋ยวนั้น เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไปให้จุนซูเป็นการแก้เก้อ

“ได้เลยครับ ผมจะดูแลให้เอง”

ยูชอนพูดอย่างมั่นใจเต็มร้อย ก่อนจะเดินจูงมือคนข้างกายให้เดินไปพร้อม ๆ กัน จุนซูโบกมือลาแจจุงก่อนจะเดินไปพร้อม ๆ กับร่างสูง แจจุงโบกมือตอบกลับไปเช่นกัน ก่อนจะลดมือมาอยู่ข้างลำตัว และยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง


...ไม่ได้คุยกับเพื่อนแบบนี้....มานานเท่าไหร่แล้วนะเรา....

...มีความสุขชะมัดเลยแหะ...


แจจุงเดินเรื่อยเปื่อยต่อไป สายตาก็จับจ้องบรรยากาศรอบ ๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมานานไปด้วย เดินไปได้ไม่ไกลนัก ร่างบางก็หยุดอยู่ที่ร้านหนังสือร้านหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในร้าน ร้านถูกจัดด้วยสีโทนน้ำตาลอ่อน ดูแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก แจจุงเดินไปดูมุมหนังสือนิยายก่อนเป็นอันดับแรก เพราะจะดูว่ามีนิยายเรื่องไหนน่าสนใจ และนิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน

นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือทีละเล่ม ๆ อย่างสนใจ เขาเจอนิยายที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ต้องคัดเลือกมาแค่บางเล่มเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้พกเงินมามากเท่าไหร่ ก็เลยเลือกมาไว้สองสามเล่ม เมื่อเห็นว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว แจจุงจัดการถือหนังสือนิยายที่เลือกมาไว้แนบอกด้วยแขนทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องสะดุดกึก เพราะเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายของเขาอยู่ด้านบน แถมเหลืออยู่เพียงไม่กี่เล่มซะด้วยสิ

...ว้าว ขายดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย...

แจจุงที่เพิ่งจะเคยได้รับรู้ว่านิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน พอได้เห็นเองแล้วอดจะภูมิใจไม่ได้ ริมฝีปากบางยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มสวย แต่แล้วร่างบางก็เกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นซะแล้ว พอเห็นว่านิยายของตัวเองเหลืออยู่แค่ไม่กี่เล่ม แจจุงก็เกิดอาการเสียดายแปลก ๆ

...น่าจะซื้องานของตัวเองเก็บไว้สักเล่มนึงเนอะ...

คิดได้ดังนั้น หนังสือที่แจจุงถืออยู่ก็ถูกวางไว้ก่อน แขนเรียวเอื้อมไปจนสุดความยาว แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี คราวนี้เริ่มเขย่งเท้าอีกนิดนึง เอื้อมก็แล้ว เขย่งเท้าก็แล้ว แต่ก็ยังหยิบหนังสือไม่ถึงซะที ทำเอาแจจุงอารมณ์เสียจนได้ ร่างบางเอื้อมไปหยิบหนังสือเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่ายังไง ๆ ก็เอื้อมไม่ถึงอยู่ดี จึงตัดใจไม่ซื้อผลงานของตัวเองก็ได้

...ทำไมต้องวางหนังสือไว้สูง ๆ ด้วยฟ่ะ...

แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างของใครมาซ้อนอยู่ด้านหลัง ดวงตาสวยเห็นมือของคน ๆ นั้นกำลังเอื้อมไปหยิบนิยายของเขามาเล่มหนึ่ง และนิยายเล่มนั้นก็เลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วซะด้วย

“จะเอาเล่มนี้ใช่มั้ยครับ?”

เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีเสน่ห์ดังมาจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่น้ำเสียงนั้นทำให้ใบหน้าของแจจุงเริ่มจะซับสีจาง ๆ ขึ้นมาซะแล้ว

“ชะ...ใช่ครับ....ขอบคุณครับ...”

มือเรียวยื่นไปหยิบหนังสือตรงหน้า และยื่นไปหยิบหนังสือที่เลือกไว้ทั้งหมดมาไว้แนบอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ช่วยหยิบหนังสือนิยายของตัวเองให้เมื่อตะกี้นี้

ชายหนุ่มร่างสูง ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ และพาดกระเป๋าใบใหญ่อยู่ข้างตัว ใบหน้าที่ดูคมเข้ม กับผมที่ซอยยาวระต้นคอสีดำนั้นทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ร่างสูงเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มเดิมมาอีกเล่มหนึ่ง ทำให้แจจุงยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว

...ขายหมดแล้วเหรอเนี่ย...ว้าว~...


“คุณชอบนิยายของนักเขียนคนนี้ด้วยหรอครับ?”

ชายคนนั้นถามด้วยรอยยิ้ม แจจุงที่มัวแต่ดีใจที่นิยายของตัวเองขายดีสะดุ้งด้วยความตกใจ พอสติกลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แจจุงก็ส่งยิ้มตอบไปให้ แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของคนตรงหน้าซะนี่

...จะตอบยังไงดีละเนี่ย...

...ก็คนเขียนอ่ะ....คือฉันเองนี่นา...


“อะ...เอ่อ...ใช่ครับ ผมชอบมากเลยล่ะ”

ใช่ว่าชื่อของเขาจะไม่มีคนรู้จักซะเมื่อไหร่ แต่ด้วยความที่เขาไม่ค่อยจะได้ออกไปแสดงตัวต่อสื่อต่าง ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร และการที่ไม่ชอบแสดงตัวเป็นคนดัง ทำให้แจจุงเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น

“จริงหรอครับ! ผมก็เหมือนกัน ผมซื้อนิยายของเขาตั้งแต่เรื่องแรกเลยล่ะ”

ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงสดใสมากกว่าเดิม คำพูดที่ร่างสูงพูดออกมา ทำให้แจจุงยิ้มแป้นเลยทีเดียว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมต่อหน้าแบบนี้

...นี่รึเปล่านะ...

...ที่เขาเรียกกันว่า...“ความสุข”....


“อืม....นี้ก็จะเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ...ไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ?”

ชายหนุ่มพูดพลางดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือมาเกาที่ท้ายทอยด้วยท่าทางเขินอาย แจจุงมองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกถูกชะตากับคน ๆ นี้ และความรู้สึกแบบนั้น ทำให้ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง

“ได้ครับ ไปทานข้าวกันดีกว่า”


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


ภายในร้านอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีครีม ที่ดูแล้วเรียบง่ายแต่ก็สวยงามยิ่งนัก ชายหนุ่มทั้งสองเลือกที่จะนั่งตรงบริเวณมุมด้านในของร้าน เพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัว ทั้งสองสั่งอาหารที่ตัวเองอยากทานกันจนเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

“คุยกันมาตั้งนานแล้ว ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

แจจุงเป็นคนเริ่มถามก่อน ชายหนุ่มตรงทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองลืมพูดอะไรไป ทำให้แจจุงแอบอมยิ้มเล็ก ๆ อยู่คนเดียว

...ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก...

...แต่....วิธีพูดแบบนี้....ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยจังแหะ?...

“อ๊ะ ก็ว่าลืมอะไร ผมชื่อ ชอง ยุนโฮ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

ยุนโฮแนะนำตัวเสร็จ ก็ส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง แจจุงพยักหน้ารับรู้สองสามครั้ง แต่พอนึกอะไรบางอย่างออก ก็ทำให้แจจุงถึงกับตกใจตาเบิกโพลงเลยทีเดียว

...ชอง...ยุนโฮ....

...หรือว่า....จะเป็น.....!!??....

...คนที่เคยโทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่าชอบงานของเรานี่หว่า!?...

คราวนี้แจจุงเก็บอาการตกใจและเครียดไว้ไม่อยู่ซะแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี ที่มีโอกาสได้พบกับแฟนผลงานของตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกชื่อของตัวเองไป การแสดงออกที่ยุนโฮแสดงกับเขามันจะเปลี่ยนไปรึเปล่านี่สิ ที่ทำให้เขาเครียดยิ่งกว่า

...เฮ้อ....แล้วฉันจะแนะนำตัวยังไงดีเนี่ย?....

...ถ้าบอกไปตรง ๆ....เค้าจะเหมือนคนอื่นรึเปล่านะ?...

...ที่ทำยังกับว่า....ฉันเป็นคนที่สูงเกินไป....

...ฉันล่ะ....เกลียดการแสดงออกแบบนั้นชะมัดเลยแหะ...


“เอ่อ....เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ? ไม่สบายหรอ?”

ยุนโฮพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วงมาก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเนื่องจากความสงสัย แจจุงที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นการปฎิเสธ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างอดไม่ได้

“คุณยุนโฮ ถ้าผมบอกชื่อของผมแล้ว คุณจะทำตัวกับผมเหมือนเดิมได้มั้ย?”

แจจุงพูดออกมาตรง ๆ โดยที่ไม่มองหน้าคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิด ใบหน้าหวานก้มลงเล็กน้อย บรรยากาศตอนนี้เงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น แต่แล้วแจจุงก็มีความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หน้าผากขึ้นมา จนต้องเอามือมาทาบไว้ที่หน้าผากเพื่อบรรเทาความเจ็บ

“โอ๊ย!? นี่คุณมาดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย!!?”

“อะไรกัน เรียกผมว่า ‘คุณ’ อยู่นั่นล่ะ ตอนนี้เรารู้จักชื่อกันแล้วนะ ก็คุยกันแบบสบาย ๆ สิ”

“......”

“คุณจะเป็นใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลยนี่ ยังไงเราก็ยังคุยกันแบบนี้เหมือนเดิมล่ะ”

“......”

“แล้ว...คุณชื่ออะไรล่ะ? ผมจะได้เรียกถูก”


ยุนโฮปั้นหน้าดุใส่แจจุงราวกับพ่อที่กำลังสั่งสอนลูกตัวน้อย ๆ ของตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่การกระทำแบบนั้น ทำให้แจจุงหายโกรธยุนโฮเป็นปลิดทิ้ง แถมยังหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อีกต่างหาก

...ตั้งแต่เกิดมา....นอกจากจุนซูแล้ว....

...ฉันยังไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยแหะ...

...คิก ๆ....แต่ว่าก็ว่าเหอะ....มาบอกให้ฉันห้ามเรียกว่า ‘คุณ’...

...แต่ทำไมนายยังเรียกฉันแบบสุภาพอยู่เลยเนี่ย...


“ฉันชื่อ แจจุง...คิม แจจุง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ ยุนโฮ ^ ^”

แจจุงพูดเสร็จ ก็จบด้วยการแถมรอยยิ้มหวานประจำตัวไปอีกครั้ง ยุนโฮที่ได้ยินชื่อทำหน้าตกใจเหรอหรา จนร่างบางหลุดขำออกมาเสียชุดใหญ่ ยุนโฮกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังงุนงงกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อตะกี้

“นะ...นาย....นายคือนักเขียนคนนั้นน่ะหรอ?”

คำพูดสุภาพที่พูดไว้ตอนแรกเลือนหายไปซะแล้ว ทำให้แจจุงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ที่ยุนโฮนั้นทำตามที่สัญญาไว้จริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงตามสัญญาทุกอย่างรึเปล่านี่สิ ดูจากอาการตกใจนี้แล้ว....สงสัยคงจะปลื้มเขามากจริง ๆ แหะ

“อื้ม ใช่ นี่ฉันพูดจริงนะ ที่จริง...ฉันว่านายน่าจะอายุน้อยกว่าฉันอีกนะ แต่เรียกกันเหมือนเพื่อนนี่ล่ะดีแล้ว”

แจจุงพูดพร้อมพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อกี้ ยุนโฮที่เริ่มจะรวบรวมสติที่ปลิวหายไปได้บ้างแล้ว ก็ยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้ร่างบาง

“แหะ ๆ...หวา ตกใจชะมัดเลยแหะ ไม่นึกว่าจะได้คุยกับคนดังนะเนี่ย ฮ่า ๆ” พูดเสร็จ ยุนโฮก็หัวเราะออกมาเสียงดัง การกระทำที่พูดเหมือนจะเชิดชู แต่มันกลับกลายเป็นคำพูดล้อเล่นแทน ทำเอาแจจุงงงแทนละคราวนี้

...อะไรกัน....ยังมีคนที่เพี้ยนยิ่งกว่าจุนซูอีกหรอเนี่ย?....

...ปกติ....ถ้าฉันแนะนำตัวเสร็จ....

...ไม่ว่าจะเป็นใคร....ต่างก็ทำตัวสุภาพกับฉัน....

...แต่ยุนโฮ....กลับหัวเราะเหมือนกับเป็นเพื่อนกันธรรมดา ๆ....

...หึ....ดีใจชะมัดเลยแหะ...

“งั้นแสดงว่าตอนอยู่ร้านหนังสือ ที่จู่ ๆ นายก็ยิ้มออกมา เพราะฉันซื้อนิยายเล่มสุดท้ายของนายอะดิ?” ยุนโฮที่กำลังเรียบเรียงเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาถามขึ้น แจจุงส่งยิ้มกว้างไปให้ พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบ เท่านั้นล่ะ ทั้งสองต่างหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่

“ฮะ ๆ นายคิดผิดแล้วละที่มาซื้อนิยายน้ำเน่าของฉันเนี่ย” แจจุงพูดทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะค้างอยู่ ยุนโฮส่ายหน้าแทบจะทันทีที่แจจุงพูดจบ ก่อนจะพูดตอบกลับไปบ้าง

“ฉันว่ามันมีข้อคิดดี ๆ เยอะออก คนเก่งจริงเค้ามักจะไม่พูดอวดหรอกว่าตัวเองเก่งน่ะ ^ ^” ยุนโฮพูดพร้อมกับพยักหน้ากับความคิดที่ดูจะมีหลักการของตัวเอง ทำเอาแจจุงอมยิ้มออกมาเลยทีเดียว

“คิก ๆ งั้นก็ขอบคุณสำหรับคำชมด้วยละกัน” พูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ นี่คงจะเป็นครั้งหนึ่งที่เขายอมเปิดใจให้กับคนอื่น หลังจากที่ไม่ได้ทำมานานเลยทีเดียว


“แจจุง ฉันขอไปห้องน้ำแป๊ปนึงนะ” ยุนโฮพูดพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แจจุงพยักหน้าตอบรับ ใบหน้าหวานหันไปตามทางที่ยุนโฮเดิน สายตาจดจ้องแผ่นหลังกว้างของร่างสูงจนกว่าจะลับสายตาไป ถึงแม้ว่าร่างของยุนโฮจะลับสายตาไปแล้ว แต่ดวงตากลมโตก็ยังคงจดจ้องอยู่ตรงจุด ๆ เดิมโดยที่ไม่ละสายตาไปไหน

...ฉันจะคิดไปเองรึเปล่านะ....

...ว่าตอนที่ฉันส่งยิ้มไปให้ยุนโฮ....

...เหมือนกับว่า......เค้าหน้าแดง??....

...เค้าเขินฉันอย่างนั้นเหรอ???...

แจจุงสะบัดหัวไปมาแรง ๆ ไล่ความคิดบ้า ๆ ของตัวเองให้หลุดออกไปจากหัว ก่อนจะเลื่อนมือมาตบที่แก้มตัวเองเบา ๆ สองสามครั้ง และถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

...เฮ้อ....เป็นอะไรไปเนี่ยเรา.....

...ก็แค่คิดว่า....ยุนโฮเขินเรา.....

...ทำไม.....ฉันจะต้องดีใจด้วยเนี่ย?.....


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


ยุนโฮเดินพาร่างของตัวเองมาจนถึงห้องน้ำในเวลาไม่นาน มือหนาถูกเลื่อนไปวางค้ำไว้ที่บริเวณอ่างล้างหน้า ใบหน้าคมก้มลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยขึ้นมามองใบหน้าของตัวเองที่ถูกสะท้อนกับกระจกใสบานใหญ่ แต่ทันทีที่ดวงตาคมเห็นใบหน้าของตัวเอง มือของเขาก็รีบเลื่อนมาปิดที่ใบหน้าของตัวเองแทบจะทันที

“หวา....หน้าแดงเถือกเลยเรา....”

ใบหน้าคมก้มลงอีกครั้งอย่างเขินอาย ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ และใช้มือกวักน้ำล้างหน้าตัวเองเสียยกใหญ่ พยายามใช้ความเย็นจากของเหลว ช่วยลดอุณหภูมิของใบหน้าที่ร้อนจัดในตอนนี้ให้ลดลง แต่....พยายามเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ามันจะลดลงเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

...ไม่อยากจะเชื่อเลย....

...ว่านักเขียนที่ฉันชื่นชม....

“.....เป็นคนเดียวกัน......กับคนที่ฉันชอบ.....”

เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มือหนาเลื่อนมาปิดที่ปากของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือหยาบ

...มันเป็นโชคชะตารึเปล่านะ?...

ยุนโฮใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเช็ดหยดน้ำที่ยังเกาะอยู่ออกไปอย่างลวก ๆ ก่อนจะพาร่างของตัวเองออกไปจากห้องน้ำเดินกลับไปยังโต๊ะอาหาร ที่แจจุงกำลังนั่งรออยู่ ระยะทางที่ไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่นานยุนโฮก็เดินมาถึงโต๊ะ และหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งเดิม

“อาหารมาแล้ว กินเลยสิยุนโฮ” แจจุงพูด ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ตัวเองสั่งไว้บ้าง ท่าทางการกินที่ดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ จนเหมือนกับเด็ก ๆ ทำให้ยุนโฮแอบลอบยิ้มอยู่คนเดียว และเริ่มกินอาหารของตัวเองบ้าง

“ยุนโฮ รู้มั้ย เมื่อวานน่ะนะ.....” และแล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แจจุงชวนคุยบ้าง กินบ้าง ทำให้มื้ออาหารมื้อนี้ค่อนข้างจะครื้นเครง ถึงแม้ว่าจะอยู่กันแค่สองคน แต่บรรยากาศที่อบอุ่นนั้นกลับแผ่กว้างออกไปจนคนอื่นรู้สึกได้

พูดคุย หัวเราะ หยอกเอิน และกลับมาก้มหน้าก้มตากินอีกครั้ง วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงไม่นาน แต่ยุนโฮและแจจุงต่างรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนกับเป็นเวลาที่ผ่านมายาวนานแล้วก็ว่าได้...

...การที่เราเปิดใจต่อกัน....

...มันคงจะเป็นความสุขที่ล้นเหลือ....จนเราไม่อาจจะเก็บไว้ได้เพียงคนเดียว...

...มันมีมาก....จนเราต้องแบ่งปันให้กันและกัน....

...จึงทำให้คนสองคน....มีความสุขได้มากขนาดนี้....


“ฮ้า~ อิ่มชะมัดเลย”

ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน และใช้มือลูบที่หน้าท้อง เป็นการบอกว่าอิ่มแล้วจริง ๆ แต่พอต่างฝ่ายต่างได้ยินและเห็นการกระทำที่เหมือนกับตัวเองเปี๊ยบ ทำให้ทั้งสองจ้องตากันตาไม่กระพริบ

“นายเลียนแบบฉันทำไม??”

คราวนี้ก็หลุดพูดออกมาพร้อมกันอีก สายตาของทั้งคู่จ้องกันอย่างอาฆาต ต่างฝ่ายต่างทำหน้าตาหาเรื่องกันสุด ๆ และ.....

“อุ๊บ...........ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!!!”

สุดท้าย...ทั้งสองก็หลุดขำออกมาทั้งคู่จนได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าสิ่งที่ทำลงไปนี้เป็นการกระทำที่เหมือนกับเด็กหัวแข็งไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งคุยกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกสบายใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น

หลังจากนั่งคุยกันอีกสักพัก ยุนโฮก็อาสาเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เอง ทำเอาแจจุงยิ้มแก้มปริ แถมกอดยุนโฮไปซะเต็มรัก แต่แจจุงจะรู้บ้างหรือเปล่านะ...ว่าการกระทำแบบนี้ ทำให้ยุนโฮหัวใจเต้นระรัวจนเกือบจะเก็บอาการดีใจไว้ไม่ไหว

...วะ...หวา....นี้ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย?...

...ฉันโดนแจจุงกอด.....แถมกอดซะแน่นแบบนี้....

...ทำไงดีล่ะ...มันหุบยิ้มไม่ลงซะแล้ว....

...สงสัย....วันนี้ฉันคงจะกลายเป็นคนบ้าแน่ ๆ....


ร่างของชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากร้านอาหาร ขาสองคู่ก้าวเดินไปอย่างไม่รีบร้อน เดินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้กำหนดจุดหมายปลายทางไว้แน่นอน บางทีเห็นร้านที่มีของน่าสนใจก็เดินเข้าไปแวะบ้าง หาของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามร้านริมทางบ้าง

“ยุนโฮ ดูนี่สิ สวยมั้ย ๆ”

มือเรียวหยิบสร้อยคอรูปร่างแปลกตาแต่ดูสวยงามขึ้นมาหนึ่งเส้น พลางยื่นไปวางไว้ในมือของยุนโฮ มือหนายกสร้อยคอขึ้นสูง และใช้สายตาจ้องมองพิจารณาอย่างตั้งใจ

“อื้ม ก็สวยดีนี่ นายชอบหรอ?”

ยุนโฮตอบและถามต่อในคราวเดียวกัน แจจุงพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบกลับ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นนั้นจากมือของยุนโฮกลับคืน และก้มหน้าก้มตาดูของประดับชิ้นอื่นต่อ

ยุนโฮเห็นว่าคงจะอีกนานกว่าแจจุงจะเลือกเครื่องประดับเสร็จ เลยตัดสินใจบอกแจจุงว่าจะไปรอแถวแม่น้ำฮันท่าจะดีกว่า มือหนาจัดการเปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบกล้องประจำตัวของตัวเองขึ้นมา ระหว่างที่รอคนที่อยู่ในร้าน ยุนโฮก็ถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้ไปได้เยอะพอสมควรเชียวล่ะ


“ว้าว~ นายเป็นช่างภาพหรอเนี่ย~”

จู่ ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ยุนโฮที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายรูปก็สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าคมหันไปมองตามทางที่เสียงดังมา ดวงตาคมที่เห็นใบหน้าของอีกคนที่กำลังยิ้มอยู่อย่างน่ารัก ริมฝีปากหนาจึงเผยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างเก็บไว้ไม่ไหว

“อื้ม...นายสนใจจะถ่ายรูปคู่กันมั้ยล่ะ?”

“ได้หรอ? เอาสิ ๆ ถ่ายเลย ๆ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปตั้งนานแล้ว”

ดวงตากลมโตฉายประกายความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มหวานเผยออกมาราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นจากผู้ใหญ่ แจจุงจัดการใช้มือเซ็ททรงผมให้เนี๊ยบยิ่งกว่าเดิม ทำเอายุนโฮที่ยืนมองอยู่หลุดหัวเราะออกมาเสียชุดใหญ๋

“ฮ่า ๆ ๆ!! ไม่ต้องเนี๊ยบขนาดนั้นก็ได้”

พูดไปหัวเราะไป แจจุงที่กำลังจัดทรงให้เรียบร้อยถึงกับชะงัก ร่างบางส่งสายตาค้อนไปให้คนข้าง ๆ เสียวงใหญ่ ก่อนจะเข้าไปยืนใกล้ ๆ กันกับร่างสูงเพื่อถ่ายรูป

แขนแกร่งเลื่อนไปโอบไหล่บอบบางให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยกับการกระทำแบบนั้น ไหล่ข้างหนึ่งของแจจุงซบไปกับอกกว้างของยุนโฮ รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของร่างสูง ยุนโฮยืดแขนข้างทื่ถือกล้องไว้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายรูป

“เอ้า อยากโพสท่าอะไรก็เอาเลย”

ยุนโฮพูดด้วยรอยยิ้ม แจจุงไม่คิดอะไรมาก ชูสองนิ้วเรียวของตัวเองขึ้นมาโพสท่าคลาสสิค พร้อมกับรอยยิ้มประจำตัวที่เสริมความสดใสให้กับตัวเอง

“ฉันจะถ่ายแล้วนะ 3…2…1….”

ประโยคที่สิ้นสุดลง กล้องกำลังจะบันทึกภาพของทั้งคู่เก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ก่อนที่จะได้เก็บภาพนั้นไว้ แขนเรียวของแจจุงที่โพสท่าไว้ก็ลดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าอื่น และ....

‘แชะ!’




...เหมือนโลกหยุดหมุน....

ภาพที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะออกมาเป็นแนวพี่น้องที่น่ารัก คนเป็นพี่โอบไหล่น้องชายคล้ายกับว่าจะปกป้องคน ๆ นี้ไว้เสมอ อีกคนก็โชว์ความสดใสร่าเริงที่มีอยู่มากให้ได้เห็น ซึ่งจริง ๆ แล้วกลับเป็นน้องชายต่างหากที่ปกป้องพี่ชาย แต่ภาพที่ได้กลับกลายเป็นว่า...

...คนสองคนกำลังกอดกันอย่างอบอุ่น....

ยุนโฮยืนแข็งทื่อจนแทบจะกลายเป็นท่อนไม้ ปกติเขาเป็นคนที่คิดอะไรได้รวดเร็ว แต่รู้สึกว่าตอนนี้สมองที่แสนฉลาดนั้นมันตื้อไปหมด แขนแกร่งยังคงโอบไหล่บางไว้เช่นเดิม และวงแขนเล็กก็ยังคงกอดเอวของร่างสูงไว้แน่น

...ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่นาน....

...แต่ทั้งสองคน....กลับรู้สึกราวกับว่าเวลาของโลกมันหยุดลง....

แจจุงคลายวงแขนออก พร้อม ๆ กับที่ยุนโฮลดแขนลงและเก็บกล้องลงกระเป๋าใบใหญ่ ใบหน้าคมหันหน้าไปอีกทาง และมองไปที่ท้องฟ้าแก้เก้อ ส่วนแจจุงก็ก้มหน้างุด หันหน้าไปอีกทางเช่นกัน นิ้วชี้เรียวเขี่ยที่แก้มเนียนใสไปมาเป็นการแก้เขิน

...ทำไมจู่ ๆ ฉันถึงอยากจะกอดเค้านะ....

...แค่เผลอคิดไปนิดเดียว....

...ร่างกาย....ก็ทำไปก่อนล่วงหน้าซะแล้ว....

...อ๋า.....ไม่จริงใช่มั้ย.....รึว่า....ฉันจะ.....


“ยุนโฮ....ฉันอยากกลับบ้านแล้วอ่ะ”

แจจุงพูดขึ้นทำลายความเงียบงันระหว่างเขาและยุนโฮ ร่างสูงหันไปมองตามทางของเจ้าของเสียง ซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าเขาไปเล็กน้อยแล้ว ยุนโฮจึงเดินไปเคียงข้างร่างบางเป็นเพื่อนเดินกลับ

“เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”

ยุนโฮพูดห้วน ๆ พร้อมกับเดินนำหน้าไปเล็กน้อย เหมือนกับว่ารู้เส้นทางบ้านของแจจุงเป็นอย่างดี แต่ร่างบางกลับไม่รู้ทันกับท่าทางแปลก ๆ ของยุนโฮเลยสักนิด

ร่างสูงใหญ่ของยุนโฮและร่างบางของแจจุงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ทิวทัศน์โดยรอบถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่จำนวนมาก ที่ต่างพากันเดินขวักไขว่เสียเยอะแยะไปหมด แต่แจจุงรู้สึกราวกับว่าโดยรอบนั้นมันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงสีขาวที่ปกคลุมไปโดยรอบ รับรู้ได้แค่เพียงใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเขา

แจจุงที่ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังยุนโฮอยู่เล็กน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสวยจดจ้องไปยังร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่ง ท่อนแขนที่ดูมีกล้ามนิด ๆ เหมาะกับหุ่นของผู้ชาย ช่วงขาเรียวยาวที่ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่เพียงคนเดียว แต่....เขากลับรู้สึกว่ายุนโฮเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เขาเดินตามได้ทัน ทำให้เขาแอบยืนอมยิ้มกับความใจดีของยุนโฮที่มอบมาให้เขา

ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันระหว่างทางเดิน ต่างฝ่ายต่างเดินกันไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทาง หันไปมองดูสภาพรอบ ๆ เมืองที่คุ้นเคยอยู่แล้วอย่างไม่วางตา เช่นเดียวกับช่วงขาที่ก้าวต่อไปไม่หยุดเช่นกัน

“หืม?”

ร่างบางที่กำลังสนใจกับการมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ของเมือง ส่งเสียงสงสัยอยู่ในลำคอ ที่จู่ ๆ มือของเขาก็มีมือของใครสักคนมาจับไว้แน่น ใบหน้ามนก้มลงมองที่มือของตัวเอง ที่ตอนนี้มีมือใหญ่กำลังจับกุมไว้แน่นแต่อ่อนโยนยิ่งนัก ดวงตากลมโตมองไปตามแขนของคน ๆ นั้นไล่ไปเรื่อย ๆ และเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่

ยุนโฮยังคงเดินนำหน้าแจจุงอยู่เล็กน้อยเช่นเดิม แต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตรงที่เขาเลื่อนมือไปจับมือกับแจจุงที่เดินอยู่ด้านหลัง ใบหน้าคมยังคงจ้องตรงไปตามทางตรงหน้า แจจุงทำหน้าตาสงสัย เหมือนจะทำให้คนตรงหน้าได้รู้ถึงอาการของเขา ทั้ง ๆ ที่ยุนโฮไม่ได้หันมามองด้านหลังแม้แต่นิด แต่พอดวงตากลมโตเหลือบไปมองบริเวณใบหูของยุนโฮ ก็ต้องยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก

...เอ๋???....นั่นมัน......

...นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย??....


...หูของยุนโฮ......แดง......

...เค้าเขินงั้นหรอ?...

แจจุงที่เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝันกระพริบตาปริบ ๆ ระหว่างที่เดินไป บางทียุนโฮก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าจะมองแต่ทางเดินอย่างเดียว บางทีก็ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนมาปิดบริเวณใบหน้าบ้าง พอสมองของแจจุงได้คิดประมวลผลอย่างดีแล้ว ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

...คิก ๆ.....ทำตัวน่ารักจังนะ.....

...มือของนาย.....ที่กำลังจับมือฉัน....

...มันอบอุ่นมาก ๆ เลยล่ะ....ยุนโฮ....


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปช้าเร็วขนาดไหน แต่ตอนนี้ร่างของทั้งสองกำลังยืนหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของแจจุง ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตูรั้วเตี้ยที่หน้าบ้าน มือยังคงจับกันไว้แน่นเช่นเดิม ใบหน้าของทั้งคู่ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจนู่นนี่รอบ ๆ บ้าน ทั้ง ๆ ที่แจจุงเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังหันหน้าสำรวจบ้านตัวเองเสียยังกับเป็นแขกซะอย่างนั้น

“ถึงบ้านนายแล้วนะ” ยุนโฮเริ่มพูดก่อน แจจุงก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงในลำคอเป็นการตอบกลับ

“อื้อ...”

มือเรียวผละออกมาจากมือหนาที่แสนอบอุ่นนั้น ประตูรั้วถูกเปิดและปิดด้วยฝีมือของแจจุง ร่างบางหันหลังกลับมาส่งยิ้มให้กับร่างสูงอีกครั้งหนึ่ง

“กลับบ้านดี ๆ ล่ะ ยุนโฮ”

เสียงหวานบวกกับรอยยิ้มสวยที่ยุนโฮได้รับนั้น มันทำให้ร่างกายของเขาถูกตรึงไว้นิ่งอย่างไม่รู้ตัว เสียงเปิดและปิดประตูที่ดังขึ้นนั้นไม่ได้เรียกสติของร่างสูงให้กลับมาเลยสักนิด

เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยุนโฮก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสมองประมวลเหตุการณ์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวกลม ๆ สะบัดไปมาอย่างแรงสองสามที ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนมาสอดที่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง

“หืม?”

มือที่สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋า ยุนโฮหยิบของชิ้นนั้นออกมาดู ก็พบว่าเป็นสร้อยคอเงินรูปกางเขนที่มีขายอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ดูสวยงามยิ่งนัก ที่มีเศษกระดาษแผ่นเล็กแนบติดมาด้วย ยุนโฮจัดการเก็บสร้อยนั้นลงในกระเป๋าเช่นเดิม ก่อนจะเปิดเศษกระดาษที่ถูกพับนั้นออก


‘ถึง...ยุนโฮ

เป็นไงบ้าง~ สร้อยที่ฉันเลือกให้ สวยมั้ยล่ะ?
ฉันก็มีสร้อยที่เหมือนกันอยู่อีกเส้นนึงนะ เราจะได้เอาไว้ใส่คู่กัน ^ ^

แล้วก็ อีกอย่างนะ เย็นนี้ นาย.........’


นัยน์ตาคมค่อย ๆ อ่านข้อความที่แจจุงแอบส่งให้ตัวเองอย่างช้า ๆ จนเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ทำให้ยุนโฮอดที่จะยืนยิ้มกว้างไม่ได้ ยุนโฮขอให้เขาทำอะไรบางอย่างให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาแทบจะยอมทำให้โดยที่ไม่ต้องขอด้วยซ้ำ

เศษกระดาษใบเล็กถูกพับเก็บและใส่ลงกระเป๋าไว้เช่นเดิม ยุนโฮหันไปมองบ้านของแจจุงอีกครั้งเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินกลับบ้านของตัวเองไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข...


+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+


‘แอ๊ด~...’

เสียงเปิดประตูบ้านที่แผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่แผ่วเบาเช่นกัน แจจุงจัดการถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านอย่างระเกะระกะตามนิสัยของผู้ชาย ขาเรียวสมส่วนก้าวเข้ามาภายในบริเวณบ้านอย่างช้า ๆ และสบายอารมณ์เป็นที่สุด

‘หมับ~ ฟอด~!!’

“เฮ้ย!!!!???”

ร่างบางสะดุ้งสุดตัว มือเรียวเลื่อนมาแนบบริเวณแก้มด้านที่ถูกใครสักคนมาหอมแก้ม แต่จะหันหน้ากลับไปมองตอนนี้ก็ไม่ไหว เพราะคน ๆ นั้นเรียกได้ว่ากระโดดมากอดเขาเสียแน่นแบบกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง จนเขายืนตัวตรงยังไม่ไหวเลย กว่าแจจุงจะกลับมายืนตัวตรงได้ ก็ต้องรอให้เจ้าของอ้อมกอดนั้นผละออกไปเสียเอง

“อ๊า~~~ พี่แจจุง~~~ ในที่สุดพี่ก็ออกมาจากห้องขังซะที ผมละคิดถึ๊ง~ คิดถึงพี่ชะมัด”

เสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งแจจุงคิดว่าเป็นเสียงที่ฟังดูกวนส้นที่สุดในชีวิต และเสียงแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชางมิน น้องชายตัวแสบของเขานี่เอง

พอรู้ว่าคนที่มาหอมแก้มและกอดเขาเสียแน่นเป็นใคร แจจุงจึงส่งยิ้มปานนางฟ้ามาจุติไปให้น้องชายสุดที่รัก ทำเอาชางมินแทบจะโผเข้าไปกอดอีกครั้ง....ถ้าไม่โดนแจจุงเขกหัวซะก่อนน่ะนะ

‘โป๊กกก~!?’

“โอ๊ยยยยยยยย เจ็บน่ะพี่!? นี้มือคนหรือค้อนกันแน่เนี่ย!!”

ชางมินเลื่อนมือข้างหนึ่งไปถูเบา ๆ บริเวณที่โดนเขกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ความเจ็บที่โดนเข้าไปเมื่อกี้ทำเอาน้ำตาเล็ด ท่าทางที่น่าสงสารของชางมินทำเอาแจจุงหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาอย่างเอือม ๆ

“แล้วใครใช้ให้มากอดพี่เสียแน่นขนาดนั้นห๊ะ! กะจะให้พี่ตายเลยรึไง!”

แจจุงพูดเสียงดุ พร้อมกับทำท่าที่คิดว่าตัวเองน่าจะทำได้น่ากลัวมาก ๆ แต่...เจ้าตัวไม่เคยรู้เลย ว่าสำหรับชางมินแล้ว ไม่ว่าแจจุงจะทำท่าให้น่ากลัวยังไง เขาก็มองว่าพี่ชายตัวเองน่ารักอยู่ดีแหละ

“ฮู้ย~ น่ากลัวตะ....”

“พอ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว พี่จะขึ้นไปห้องก่อน เดี๋ยวลงมา ชางมินก็นั่งกินขนมรอไปก่อนละกัน”

แจจุงไม่ปล่อยโอกาสให้ชางมินได้ต่อปากต่อคำ ร่างบางจัดการตัดบทชิงขึ้นไปบนห้องของตัวเองเสียก่อน ปล่อยให้ชางมินยืนลูบหัวตรงที่ถูกเขกอยู่ตรงนั้นคนเดียว โดยที่ชางมินนั้นไม่ได้รู้เลยว่า แจจุงที่กำลังเดินขึ้นไปห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นบนนั้น กำลังแอบหัวเราะกับอาการเอ๋อของเขาอยู่เงียบ ๆ

...ได้แกล้งชางมินแล้ว...อิอิ...

...ก็รู้ละน้า~...ว่าคิดถึงพี่มากขนาดไหน...

...แต่พอเห็นหน้าตาน้องชายสุดที่รักทีไร....

...มันก็อยากแกล้งขึ้นมาทุกทีสิน้า~....


“.........อะไรว่ะ ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำเลย ชิส์” ชางมินทำท่าฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นยืดกอดอกอย่างเซ็ง ๆ

...ฮึ่ย....คิดว่าไม่มีใครเห็นรึไง...

...เมื่อกี้อ่ะ....มากับใครก็ไม่รู้....

...แต่ที่แน่ ๆ.....สงสัยคน ๆ นั้นต้องชอบพี่แจจุงแหงเลย....

“ฮึ่ย ๆ ๆ ก็พี่แจจุงน่ารักขนาดนี้ คนเป็นน้องอย่างเราก็ต้องหวงอยู่แล้ว!!”

ชางมินตะโกนอย่างโมโหออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปที่โซฟา มือเรียวจัดการหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และหยิบขนมห่อใหญ่มากินเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง...



ทางด้านแจจุงที่เดินกำลังจะถึงหน้าห้องตัวเอง พอได้ยินเสียงตะโกนของชางมิน ทำให้ขาเรียวต้องชะงักกึก ก่อนจะหันไปมองที่บันไดเนื่องจากงงกับอาการของน้องชายตัวเอง

...อ้าว...เป็นอะไรไปแล้วล่ะนั่น?...

...แค่ไม่ได้ต่อปากต่อคำ....ถึงกับลงแดงเชียวเรอะ?...

แจจุงผู้ไม่รู้ถึงความหวงพี่ชายของชางมินเลยแม้แต่นิด ได้แต่ยืนส่ายหัวเอือมระอากับอาการของน้องชาย เมื่อปลงกับสภาพของชางมินได้แล้ว ขาเรียวก็ก้าวไปยังหน้าห้องของตัวเองต่อ

“อ๊ะ นี่มัน...”

ร่างบางที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง เห็นกระดาษใบเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งแปะอยู่ที่บานประตู ดวงตากลมโตกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป


‘ไง...แจจุง

วันนี้ฉันไม่ว่างที่จะมานั่งคุยกับนายหรอกนะ
เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ กรุณาจัดเวลาให้ว่างทั้งวันด้วยนะ คุณนักเขียนชื่อดัง
เพราะฉันจะคุย ๆ ๆ กับนายให้หายคิดถึงกันไปข้างนึงเลย

หัดใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้างได้ม่ะ? วัน ๆ อยู่แต่ในห้องไม่เบื่อบ้างรึไง~
แล้วทีหลังก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลากับชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง
ไม่ใช่กินข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน คอยดูเหอะ ฉันจะสาปแช่งให้นายอ้วนเป็นตุ่มเลย~!

จาก...จุนซู’


แจจุงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ กับประโยคที่จุนซูเขียนทิ้งไว้ให้เขา มือเรียวจัดการดึงกระดาษที่แปะไว้ออกมา ก้มลงมองข้อความในกระดาษนั้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข ข้อความที่ดูเหมือนว่าจุนซูจะด่าเขา แต่จริง ๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและเอาใจใส่เขาอยู่มากเลยทีเดียว

...ฉัน....ลืมช่วงเวลาแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...

...แค่ข้อความที่เพื่อนเขียนทิ้งไว้...

...มันทำให้เรา....ยิ้มได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ?....

...ความรัก....ความห่วงใยที่ส่งผ่านมาทางตัวอักษร....

...มันมีค่าต่อคนที่ได้รับมากจริง ๆ....

‘แอ๊ด~’

ประตูบานเล็กถูกเปิดและปิดลง ขาเรียวยาวก้าวไม่กี่ก้าวก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด ตรงนี้เป็นที่เขามักจะนั่งเขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ อยู่เสมอ แจจุงจัดการวางกระดาษที่จุนซูเขียนข้อความทิ้งไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบปากกาและสมุดเขียนพล็อตเรื่องนิยายของเขาขึ้นมา

มือขวาจับปากกามาทาบไว้ที่แก้ม มือซ้ายเคาะบนกระดาษอย่างใช้ความคิด คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และเปลือกตาบางที่ปิดดวงตากลมโตสินิลไว้จนมิด แจจุงทำท่าแบบนี้อยู่สักพัก เพื่อนึกพล็อตเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของเขา เขาพยายามคิดทบทวนสำหรับสิ่งที่เขาได้พบเจอตลอดช่วงเวลาในวันนี้...ช่วงเวลาดี ๆ ที่เขาไม่ได้พบมาแสนนาน...

...วันนี้....ฉันก็ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้วสินะ....

...ความรักน่ะ....ไม่เห็นจำเป็นว่า....จะต้องเป็นแบบ ‘คู่รัก’ ซะหน่อย...

...ความรักมีทั้งแบบเพื่อน....แบบพี่น้อง....แบบพ่อแม่ลูก....แบบแฟน....

...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันมีอยู่มากมายขนาดนี้....

...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันอยู่รอบ ๆ เราเสมอมา....

...ทำไมฉันถึงได้มองข้ามสิ่งดี ๆ แบบนี้ไปได้นะ?....

ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น ปากกาที่วางทาบไว้กับแก้ม ถูกเลื่อนให้ปลายปากกาจรดลงบนแผ่นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ และขีดเขียนออกมาเป็นตัวอักษรที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป

...บางที....การที่เรามัวแต่คิดมากเกินไป....

...มันอาจจะทำให้เรา....ลืมมองสิ่งดี ๆ ที่อยู่ข้างกายเราก็ได้เนอะ...

...ทำไม....เราไม่ลองมองไปรอบ ๆ กายเราดูบ้างนะ....

...บางที....เราอาจจะได้รับความรักมากมายอย่างล้นเหลือ....โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้....

ปลายปากกาหยุดลง มือเรียววางปากกาทับไว้บนกระดาษแผ่นเดิม ดวงตากลมโตมองชื่อเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของตัวเอง ที่เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องดี ๆ ในวันนี้ที่เขาได้เจอ... ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจอีกครั้งอย่างมีความสุข...


‘...Love is All Around…’






((rrRrrrRrrrrR))



ติ๊ด...



“ฮัลโหล.......ว่าไง ยุนโฮ”





...สำหรับตอนนี้....

...ผมว่า....ผมเจอความรักหลายรูปแบบแล้วล่ะ...


...ตอนนี้.....คุณเจอ ‘ความรัก’ รึยังครับ?....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น