บทความนี้อาจจะมีฉาก อีโรติก บ้างนะฮะ โปรดใช้จินตนาการในการรับชม ถ้าไม่ชอบก็ปิดหน้านี้ซะ ก๊อปได้นะแต่ให้เครดิตด้วย
Title: Sick [NC-18]
Paring: Yunho x Yuchun [2U]
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: เบลล์กลับมาแว้ววววว โฮกกก ไม่ได้แต่งฟิคนานมว๊าก~ คิดถึงฟิค+คนอ่านโคตร ๆ T^T (รู้สึกจะไม่ได้แปะฟิคเรื่องใหม่เลยเกือบ ๆ จะครึ่งปีแล้ว =_=”) แปะฟิคเรื่องนี้ฉลองชีวิตม.ปลายละกันเนอะ เริ่มต้นชีวิตม.4นี้อยากจะบ้าตายจริง ๆ เรียนสายวิทย์คณิต ไม่นึกเลยว่ามันจะเรียนหนักเยี่ยงนี้ โฮฮฮฮฮ T[]T!! (กัดผ้าเช็ดหน้าน้ำตาไหลพราก) โฮก~ รู้ซึ้งถึงคำว่า “งานเข้า” ก็ครั้งนี้ครั้งแรกนี่ล่ะ (ปาร์คจ๋า มาช่วยเค้าหน่อยจิ~) พูดถึงเรื่องฟิคสักหน่อยละกันเนอะ นี้ก็เป็นครั้งแรกที่เบลล์แต่งทูยูอ่ะ ไม่รู้ว่าจะออกมาดีรึเปล่า แต่อยากแปะประเดิม เพราะรู้สึกในบ้านจะไม่มีใครแปะคู่นี้เลย -w- เอาล่ะ ไม่พูดมากดีกว่า เชิญอ่านฟิค+ติชมกันได้ตามสบายเลยค่า~ (ขอบคุณเนื้อเพลงและความหมายเพลง On & On จาก koreasarang ด้วยนะคะ ขอเอามาใช้ในฟิคนิดนึง อิอิ)
*คำเตือน* อย่าคิดจะหาสาระจากฟิคเรื่องนี้นะคะ - -“ ส่วนใครที่รับฉากเรทแรง ๆ ไม่ค่อยได้อย่าอ่านนะคะ~ เพราะฉากเรทที่เบลล์แต่งส่วนใหญ่มันจะ...(ใครเคยอ่านก็คงจะรู้กันเนอะ =///=)
ปล. ถ้าอ่านแล้วงง ๆ ก็บอกได้นะคะ ไม่ได้แต่งฟิคนาน ฝีมือตก =_=”
ปล.2 ถึงจะเป็น SF แต่ก็ยาวนะเออ =w=;;
+:+:+:+:+:+:+ Sick +:+:+:+:+:+:+
เวลาที่คนที่คุณรักไม่สบาย...
คุณคิดว่าควรจะดูแลเขาแบบไหนกันดีครับ?...
.
.
.
.
“อื้ม...”
ร่างโปร่งที่ขดตัวอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนนุ่มขยับไปมาเบา ๆ เปลือกตาบางที่บดบังดวงตามีเสน่ห์อยู่นั้นค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ร่างโปร่งขยับตัวเป็นนอนง่ายพร้อมกับสะบัดผ้าห่มที่คลุมปิดหัวอยู่ให้มากองอยู่ที่หน้าอก หลังมือเรียวถูกใช้เป็นที่ขยี้ตาเบา ๆ เพื่อขจัดความงัวเงียที่มีมากให้ลดลงไปบางส่วน
“เช้าแล้ว...เหรอ?”
ยูชอนพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ห้อง ตอนนี้ในห้องนอนเหลือแต่เขาที่นอนหลับอยู่คนเดียวอย่างสบายใจ ร่างโปร่งเห็นแบบนั้นก็อดที่จะแอบด่าสมาชิกในวงไม่ได้ ทำไมตื่นกันแล้วไม่ยอมปลุกเขาบ้างล่ะเนี่ย ปล่อยให้นอนอยู่คนเดียวแบบนี้มันเหงานะ!
หากแต่เมื่อมองไปสักพัก เขาก็เริ่มจะรู้สึกแปลก ๆ หนังสือที่วางอยู่บนเตียงจุนซูเล่มหนึ่ง เมื่อเขาหันไปมอง เขากลับมองเห็นเป็นหนังสือสองเล่มถูกวางอยู่ซะอย่างนั้น พอหันไปมองหลอดไฟที่อยู่บนเพดานห้อง ภาพที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เขามองหนังสือเล่มนั้นเลยแม้แต่นิด
“อื้อ...ทำไม...ปวดหัวจัง...”
มือเรียวยกขึ้นจับที่ศีรษะ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวของเขาจนข้างในมันปวดไปหมด เปลือกตาบางที่เปิดขึ้นในตอนแรกนั้นกลับยกขึ้นได้ยากเสียเหลือเกิน ความเจ็บปวดที่ศีรษะนั้นมีมากจนยูชอนกัดฟันแน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นปม แต่ถึงอย่างนั้นยูชอนก็ยังพยายามที่จะลืมตาขึ้นและขยับตัวให้ลุกขึ้นนั่ง
หากแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ขึ้น นอกจากความเจ็บปวดที่ศีรษะที่รู้สึกราวกับว่ามีอะไรหนัก ๆ กดทับแล้ว อุณหภูมิในร่างกายที่ร้อนผิดปกตินั้นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดในตอนแรกมีมากกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายที่ใส่ชุดนอนตัวบางนั้นร้อนราวกับถูกไฟเผา ร่างโปร่งหอบหายใจเพื่อระบายความอึดอัด
“หนะ...หนาว...”
ผ้าห่มผืนนุ่มที่มักจะมอบความอบอุ่นให้กับเขาได้มากมาย ในตอนนี้มันกลับให้ความอบอุ่นเพียงนิดเดียวเท่านั้น ยูชอนดึงผ้าห่มให้คลุมตัวไว้แน่น เพียงแค่ผิวตัวสัมผัสกับอากาศภายในห้องก็รู้สึกหนาวสะท้าน แต่อุณหภูมิภายในตัวมันกลับสูงเสียจนร่างกายแทบละลาย สิ่งที่ขัดแย้งกันนั้นมันทำให้ยูชอนทรมานจนทำอะไรไม่ถูก แถมยังปวดหัวจนขยับตัวไปไหนแทบไม่ได้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกทรมานหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลยทีเดียว
ร่างโปร่งหอบหายใจด้วยความทรมานและเพื่อไล่ความร้อนภายในร่างกายให้ออกไป แม้ว่ามันจะแทบไม่มีผลอะไรเลยแม้แต่นิด รู้สึกมันร้อนไปทั้งตัวแม้แต่ลูกตาก็ยังไม่เว้น ดวงตาที่เริ่มจะปรือปรอยด้วยพิษไข้เหลือบไปมองที่ประตูห้อง อยากจะลุกเดินออกไปเพื่อบอกให้คนอื่น ๆ รู้ หากแต่ร่างกายมันไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่เพียงอ้อนวอนขอให้ใครสักคนเดินมาหาเขาเสียที...
...โอย...ทรมานชะมัด...
...พี่แจจุง...จุนซู...ชางมิน...พี่ยุนโฮ...
...พวกนายหายไปไหนกันหมดเนี่ย...
...ใครก็ได้...มาช่วยฉันที...
+:+:+:+:+:+:+ Sick +:+:+:+:+:+:+
สมาชิกที่เหลือผู้ซึ่งไม่ได้รับรู้ถึงสภาพที่น่าสงสารของยูชอนเลยแม้แต่น้อย กำลังนั่งกินข้าวเช้ากันสี่คนด้วยความสบายใจ กินไปคุยไปในยามเช้า นี่แหละสวรรค์เล็ก ๆ ของพวกเราล่ะ
“ทำไมป่านนี้ยูชอนยังไม่ตื่นอีกล่ะเนี่ย?”
แจจุงเปิดประเด็นใหม่กลางโต๊ะอาหาร จุนซูพยักหน้าเห็นด้วยกับแจจุงเพราะเขาก็สงสัยเหมือนกัน ยุนโฮคีบข้าวเข้าปากพลางหันไปมองร่างบางนิ่ง ส่วนชางมินนั้นก็ยังคงคีบกับข้าวแสนอร่อยฝีมือแจจุงเข้าปากไปเรื่อย ๆ แต่หูก็ยังคอยฟังสิ่งที่พี่ ๆ กำลังคุยกันเป็นอย่างดี
“นั่นสิ...สงสัยเพราะวันนี้เป็นวันหยุดละมั้ง ก็เลยขอนอนหลับให้เต็มที่”
ยุนโฮพูดออกความคิดเห็นก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตากินข้าวเช้าต่อ คำพูดที่ดูมีเหตุมีผลเหมาะสมของยุนโฮทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง อาหารแสนอร่อยจากฝีมือคิมแจจุงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ใช่ว่ากินกันไม่หมด แต่เพราะเผื่อไว้ให้เพื่อนรักที่ยังหลับสบายได้กินอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญสำหรับร่างกาย ถ้าไม่ห่วงกันล่ะก็...ป่านนี้อาหารพวกนี้คงจะไปอยู่ในกระเพาะของชางมินจนหมดแล้วล่ะ
“ฮ้า~ อิ่มแล้ว ๆ ยุนโฮ วันนี้ถึงเวรนายล้างจานแล้วนะ”
แจจุงใช้มือลูบหน้าท้องที่ป่องขึ้นมานิด ๆ ไปมา ก่อนจะหันไปสั่งเพื่อนตัวเองให้จัดการเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย ยุนโฮเบ้ปากด้วยความเซ็ง อยากจะโยนไปให้คนอื่นเอางานไปทำแทน แต่เพราะเรื่องล้างจานนี้ทุกคนจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าตัวเองจะต้องล้างจานวันไหน ร่างสูงจึงทำได้แค่ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างด้วยใบหน้ายับย่น
“เฮ้อ~ ถึงตาฉันล้างแล้วหรอเนี่ย น่าเบื่อชะมัด~”
“ไม่ต้องมาบ่นเลยพี่ยุนโฮ ครั้งที่แล้วผมก็ล้างให้พี่นะ”
จุนซูพูดดักขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ เกิดมาเหมือนหมียังไม่พอยังจะขี้เกียจอีก นี้ถ้าแฟนคลับเห็นสภาพตัวจริงของยูโนว์ยุนโฮคงจะอึ้งกันไม่น้อยเลยทีเดียว พอร่างเล็กพูดดักขึ้นมาแบบนั้น ยุนโฮก็หันมาหัวเราะและยิ้มแห้ง ๆ ให้รุ่นน้องอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นทำท่าทางน่ารักเพื่อเป็นการขอโทษ
“ง่า~ พี่ขอโทษนะจุนซู~ ยกโทษให้พี่น้า~”
เสียงต่ำที่ถูกบีบให้เล็กนั้นอาจจะฟังดูน่ารักในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับสมาชิกภายในวงแล้ว...มันช่างเป็นเสียงที่ชวนให้เอาฝ่าเท้าของตัวเองลงไปประทับส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างถึก ๆ นั่นสักทีเสียจริง
“พอ ๆ ๆ ไปล้างจานได้แล้วยุนโฮ เดี๋ยวฉันจะออกไปเดินซื้อของสักหน่อยนะ”
แจจุงพูดดักสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในไม่ช้านี้ เพราะใบหน้าของจุนซูที่ดูขยาดกับท่าทางของลีดเดอร์นั้นทำให้เขารู้ได้เลยว่าจุนซูคงจะรู้สึกอะไรไม่ต่างจากเขานัก ยุนโฮถูกร่างบางใช้มือดันหลังให้เดินเอาจานไปล้างให้เรียบร้อย พอแจจุงกำลังจะเดินไปหยิบกระเป๋าตัง ร่างสูงก็โอดครวญขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“อ้าว~ อะไรกัน งั้นฉันก็ไม่ได้ไปด้วยดิ!”
“เออดิ นายอ่ะอยู่เฝ้ายูชอนไปก่อนเลย ฉันจะไปเดินซื้อของสักหน่อย อุตส่าห์มีวันหยุดแบบนี้สักที~”
“ฉันก็อยากไปเหมือนกันนะ!”
“พี่แจจุง ผมไปด้วยได้ป่ะ? พอดีจะไปหาหนังสือมาอ่านเล่นหน่อย”
เสียงของน้องเล็กขึ้นมาดักการสนทนาของพี่ใหญ่ทั้งสอง แจจุงหันไปมองหน้าชางมินที่นั่งเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาใสซื่อประจำตัว ดวงตากลมที่นิ่งเฉยแต่ดูน่ารักตามแบบฉบับน้องเล็กนั่นทำให้แจจุงตาเป็นประกาย เลือดรักเด็กมันพลุ่งพล่านขึ้นมาซะอย่างนั้น
“โอเค งั้นไปกันเลยชางมิน อ๊า~ ทำไมนายถึงได้น่ารักแบบนี้นะ!”
“อ๊ากกกก ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะพี่แจจุง!!”
แจจุงโผกอดชางมินแน่น พร้อมกับเอาแก้มตัวเองไปถูไถกับแก้มของอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ชางมินพยายามจะสะบัดแขนเล็ก ๆ นี่ให้ออกไป แต่ดูเหมือนว่าแรงที่มีนั้นมันขัดกับขนาดแขนเล็ก ๆ นี่ราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
“จะไปซื้อของกันหรอ? ฉันไปด้วย~ ฉันจะไปซื้อเสื้อกล้ามเพิ่มสักหน่อย”
จุนซูบอกชางมินกับแจจุงที่กำลังฟัดกันอยู่เสียงดังพอประมาณ ทำให้ทั้งสองสงบศึกชั่วคราวและหันไปพยักหน้าตอบรับจุนซูพร้อมกัน ทันทีที่ตกลงกันเรียบร้อย ทั้งสามก็พร้อมใจกันเดินไปหยิบกระเป๋าตังของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ยุนโฮยืนเอ๋ออยู่คนเดียวที่บริเวณโต๊ะอาหารภายในบ้าน
“อ้าว เฮ้ย!? นี้ทิ้งฉันกันเลยหรอเนี่ย!!”
“ไม่ได้ทิ้งซะหน่อย นายก็อยู่กับยูชอนนี่ ฝากเฝ้าบ้านให้ดี ๆ ด้วยนะจ้ะที่รัก~”
แจจุงส่งจุ๊บไปให้ยุนโฮด้วยท่าทางน่ารัก ก่อนจะรีบแจ้นออกไปข้างนอกอย่างสบายใจพร้อม ๆ กันกับสองหนุ่มที่เดินโบกมือให้กับลีดเดอร์ด้วยรอยยิ้มสดใส ยุนโฮที่ทำท่าจะเรียกห้ามไว้ไม่ทันจะได้พูดอะไร ทั้งสามก็เดินออกไปข้างนอกกันเสียหมดแล้ว
‘ปัง!’
เสียงปิดประตูนั้นทำให้ยุนโฮต้องยืนค้าง จะเรียกตื้อให้สมาชิกที่เหลืออยู่ที่บ้านด้วยกันมันก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงจิ๊ปากอย่างขัดใจ อุตส่าห์มีวันหยุดทั้งที แทนที่จะได้ออกไปเที่ยวอะไรกับเขาบ้าง สุดท้ายก็ต้องมานั่งจุ้มปุ้กอยู่ที่บ้านเหมือนกับทุก ๆ วัน เฮ้อ~ คนหล่อเซ็งจริง ๆ ครับ
“เฮ้อ~ น่าเบื่อ ๆ ๆ!”
ยุนโฮพูดออกมาอย่างหงุดหงิด มือหยาบยกขึ้นขยี้หัวตัวเองไปมา ริมฝีปากหนาขยับบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว พร้อมกับก้าวขาเพื่อที่จะไปล้างจานที่ใช้แล้วให้สะอาดเรียบร้อย แต่ขาเรียวก็ต้องชะงักกึกเมื่อหันไปเห็นอาหารมื้อเช้าที่ยังเหลืออยู่สำหรับอีกคนทานวางอยู่บนโต๊ะ
...เออ...ยูชอนยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนี่นา...
...ป่านนี้ตื่นรึยังนะ...
“ป่านนี้ยูชอนตื่นรึยังนะ...”
ร่างสูงบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับขาเรียวยาวที่ก้าวไปยังห้องนอนของพวกเขาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว มือหยาบเลื่อนไปจับที่ลูกบิดประตูห้องนอนก่อนจะจัดการเปิดมันออกช้า ๆ
‘แอ๊ด~...’
ประตูที่ถูกเปิดเบา ๆ เนื่องด้วยกลัวว่าอาจจะไปรบกวนถ้าหากอีกฝ่ายนั้นยังจมอยู่ในห้วงนิทราแสนหวาน ร่างสูงแทรกตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปหาคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มพร้อมผ้านวมผืนใหญ่คลุมตัวจนมิด
ยูชอนที่นอนนิ่งอยู่ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงปิดประตูแผ่วเบา แม้จะเป็นเสียงที่เบามาก ๆ แต่เขากลับดีใจจนแทบบ้า ตอนนี้คงจะมีใครสักคนกำลังเข้ามาภายในห้องนอนแล้ว ร่างโปร่งขยับตัวไปมาหวังที่จะลุกขึ้นเรียกคนที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
หากแต่ร่างกายมันกลับทรยศ ศีรษะที่เจ็บร้าวไปทั่วราวกับถูกของแข็งทุบทำให้เขาแทบจะนอนนิ่งทันทีที่ความทรมานนั่นมันแร่นลิ้วขึ้นมาอีกครั้ง และเพียงแค่ผ้าห่มผืนประจำนี่เลื่อนจนผิวกายสัมผัสกับอากาศภายนอกก็ทำให้เขาหน้าสะท้านจนต้องดึงผ้าห่มกลับขึ้นมาอีกครั้ง
...บ้าเอ๊ย...ทำไมมันถึงทรมานขนาดนี้เนี่ย...
ยุนโฮเดินเข้ามาก็เห็นยูชอนนั้นยังนอนนิ่งอย่างสบายใจ ภาพตรงหน้าทำให้ยุนโฮยักไหล่ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ร่างสูงกำลังจะก้าวขาเดินกลับออกไปยังด้านนอก แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
...เดี๋ยวสิ...
...ถ้าไปล้างจานตอนนี้เลย...เดี๋ยวก็ต้องมาล้างจานของยูชอนทีหลังอีกรอบนะสิ...
...ล้างสองรอบเรอะ?...
...ขี้เกียจว่ะ...ปลุกให้ยูชอนมากินข้าวเช้าให้เสร็จ ๆ ไปเลยดีกว่าแหะ...
“เฮ้ ยูชอน”
ยุนโฮเรียกอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วทันทีที่ตัดสินใจเสร็จ ทันทีที่ยูชอนได้ยินเสียงคนที่เรียกชื่อของเขา ราวกับว่าสวรรค์ได้ประทานความช่วยเหลือมาให้แก่เขา ร่างโปร่งฝืนขยับตัวไปมาให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขานั้นตื่นอยู่ แม้ว่าทุกครั้งที่เขาขยับตัวนั้นจะรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม
“ยูชอน ตื่นได้แล้ว ลุกขึ้นมากินข้าวเช้าได้แล้ว”
มือหยาบวางบนขาเรียวที่มีผ้านวมผืนนุ่มคลุมทับอยู่ ก่อนจะออกแรงเขย่าไปมาเพื่อเป็นการปลุก ถึงแม้ว่าจะเป็นแรงเบา ๆ แต่สำหรับยูชอนที่กำลังไข้ขึ้นสูงและปวดหัวหนักนั้นแทบจะตายทั้งเป็นกันเลยทีเดียว
...โอ๊ยยยย!!...
...พี่ยุนโฮ...นี่พี่จะฆ่าผมรึไงเนี่ย!...
“งื้อ...พี่ยุนโฮ...ผม...หนาว...”
ยูชอนแอบสาปแช่งยุนโฮอยู่ในใจที่ไม่เข้าใจสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้เอาซะเลย แต่ก็ต้องพยายามบอกให้อีกฝ่ายได้รู้ถึงอาการของเขาในตอนนี้ มันทรมานจนทำอะไรไม่ไหวเลยจริง ๆ แค่อุณหภูมิภายในร่างกายกับอุณหภูมิภายในห้องที่ตีกันนี่ก็ทำให้เขาทรมานหนักพออยู่แล้ว ไหนจะยังมาโดนเขย่าตัวให้ตื่นอีก ในชีวิตของปาร์คยูชอนมันคงจะไม่มีอะไรทรมานมากไปกว่านี้แล้วล่ะ!
“หนาวหรอ?”
คิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมทวนคำของอีกฝ่ายอย่างสงสัย นัยน์ตาคมกรอกตาไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้งเพื่อดูสภาพของห้องในตอนนี้ให้มั่นใจ ตอนนี้แอร์ก็ไม่ได้เปิด แต่จะบอกว่าเพิ่งปิดแอร์ก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขานี่ล่ะที่เป็นคนตื่นคนแรกแล้วเดินลากเท้าไปปิดแอร์เสียตั้งแต่รุ่งเช้ากันเลย
...แอร์ก็ไม่ได้เปิด...หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด...
...แต่มาบอกว่าหนาวเนี่ยนะ?...
“เฮ้ย ยูชอน นายเป็นอะไรรึเปล่า?”
ยุนโฮรีบเคลื่อนตัวไปดูสีหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็วทันทีที่รู้สึกถึงความผิดปกติ หากแต่อีกฝ่ายนั้นกลับดึงผ้าห่มมาคลุมไว้เสียจนมิดหัวกันเลย ยุนโฮจัดการดึงผ้าห่มออกอย่างรวดเร็วเพื่อดูอาการของรุ่นน้อง และทันทีที่ผ้าห่มถูกดึงออกเผยให้เห็นร่างของยูชอนนั้นก็ทำให้ยุนโฮต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ
ร่างโปร่งที่กำลังนอนกอดตัวเองอย่างสั่นเทาเพราะความหนาวตามที่เจ้าตัวเป็นคนบอกเองเมื่อครู่นั้นทำให้ใจของยุนโฮกระตุกวูบ ใบหน้าขาวใสอย่างคนสุขภาพดีและริมฝีปากอิ่มสีแดงสดกลับซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ยูชอนนอนหอบหายใจอย่างทรมาน สภาพของรุ่นน้องในตอนนี้มันทำให้ยุนโฮตกใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
“ยูชอน! นายเป็นอะไรมากรึเปล่า!?”
ร่างสูงรีบหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเพื่อดูอาการของยูชอน มือหยาบเลื่อนไปทาบที่หน้าผากมน แต่ก็ต้องชักมือกลับอย่างรวดเร็วเมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงผิดปกติของอีกฝ่าย พอเริ่มที่จะตั้งสติได้ ยุนโฮรีบดึงผ้านวมผืนนุ่มขึ้นมาคลุมร่างโปร่งไว้ให้ดีเหมือนเดิม เพราะสภาพร่างกายแบบนี้ถึงจะเป็นอุณหภูมิห้องยูชอนก็คงหนาวเจียนตายอย่างแน่นอน
“พี่ยุนโฮ...ปวดหัว...หนาว...”
ยูชอนพลิกตัวนอนหงายพลางปรือตามองรุ่นพี่ แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ค่อยชัดนักแต่เขากลับรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่ามีคนมาอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วในตอนนี้ ยุนโฮลูบเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา กลัวว่ารุ่นน้องจะเป็นอะไรหนักกว่านี้ เพราะร่างโปร่งนั้นก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ขืนเป็นอะไรหนักขึ้นมาอีก เขาคงจะรู้สึกผิดเป็นอย่างมากเลยล่ะ
“ยูชอน เดี๋ยวฉันไปเอาแผ่นลดไข้มาให้นะ นายนอนพักก่อนนะ สภาพนายตอนนี้คงจะทำอะไรไม่ไหวแน่ ๆ”
ริมฝีปากหนายกยิ้มอ่อนโยน ดวงตาคมที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยทอดมองคนป่วยนิ่ง ยุนโฮลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ขาเรียวกำลังจะก้าวเดินไปหาแผ่นลดไข้มาให้ยูชอนเพื่อจะบรรเทาอาการในตอนนี้ หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา เสียงของคนป่วยก็ดังดักเขาขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่เอา...พี่ยุนโฮ...อย่าไปนะ...”
ยุนโฮหันไปมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง พร้อมกันกับที่อีกฝ่ายฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว แต่การกระทำแบบนั้นมันกลับส่งผลร้าย ความเจ็บปวดภายในศีรษะโจมตียูชอนอย่างหนักอีกครั้งจนเจ้าตัวต้องล้มลงไปนอนนิ่งอีกครั้ง ยุนโฮใจหายวาบกับภาพตรงหน้า สุดท้ายแล้วร่างสูงก็ต้องย้ายตัวเองกลับไปนั่งยังตำแหน่งเมื่อครู่อีกครั้งจนได้
“ยูชอน! นายทำอะไรของนายน่ะ นายปวดหัวไม่ใช่เหรอ อย่าฝืนตัวเองสิ!”
“ไม่...พี่ยุนโฮ...อย่าไปนะ...”
“ยูชอน ฉันจะ...”
“อย่าไป...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว...ผมกลัว...”
มือเรียวจับชายเสื้อยืดของยุนโฮไว้แน่น เสียงสั่นเครือของยูชอนนั้นฟังดูน่าสงสารจับจิต ยิ่งได้รับรู้ถึงความรู้สึกของยูชอนในตอนนี้ ยุนโฮก็ยิ่งรู้สึกผิดหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เวลาที่คนเราไม่สบายเราก็ย่อมที่จะต้องการใครสักคนที่เรารักมาอยู่เคียงข้างเพื่อคอยดูแลเรา เพราะสภาพร่างกายของเรามันอ่อนแอ กลัวว่าความเจ็บปวดจะทำร้ายเราจนเราไม่อาจจะต่อต้านหรือสู้กับมันได้อีก
...นี่เราปล่อยให้ยูชอนอยู่คนเดียวมากี่ชั่วโมงกันนะ?...
...ยิ่งยูชอนเป็นคนอ่อนไหว...แถมยังขี้เหงาอีก...
...นายคงจะทรมานแล้วก็กลัวมากเลยสินะ...
“ยูชอน นายรอฉันสักแป๊บได้มั้ย? ฉันขอไปเอาแผ่นลดไข้มาให้นายหน่อยเถอะนะ”
“ไม่เอา...ผมกลัว...”
“งั้น...ระหว่างที่ฉันไป ฉันจะร้องเพลงเสียงดัง ๆ นายจะได้รู้ว่าฉันยังอยู่กับนาย โอเคมั้ย?”
ยุนโฮยื่นข้อเสนอ พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและออดอ้อนในเวลาเดียวกัน ยูชอนมองใบหน้าของรุ่นพี่นิ่ง ใจนึงก็ไม่อยากจะให้ยุนโฮเดินไปเลยเพราะความกลัวที่กำลังครอบงำจิตใจเขามากขึ้นทุกที ๆ หากแต่น้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นนั้นมันทำให้เขารู้สึกเชื่อใจในตัวอีกฝ่ายอย่างประหลาด
“...รีบ ๆ กลับมานะ”
ร่างสูงยกยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำพูดจากริมฝีปากอวบอิ่ม ยุนโฮผละมือพร้อมกับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ตอนนี้เขาอยากจะรีบวิ่งไปเอาแผ่นลดไข้แล้ววิ่งกลับมาที่นี่อย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน แววตาที่ยังมีความกลัวอยู่เต็มไปหมดในดวงตากลมนั้นมันทำให้เขารู้สึกว่ายูชอนในตอนนี้ดูอ่อนแอจนต้องมีใครสักคนที่ยืนปกป้องอยู่เคียงข้าง ซึ่งตอนนี้คน ๆ นั้นคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเขา ชอง ยุนโฮ คนนี้นี่ล่ะ...
“오랫동안 기다려왔죠
โอ เรท โต งัน คี ทา รยอ วัท จโย
(ผมรอมานานมากพอแล้ว)
누군가를 그리워했죠 내 곁에 있는 그녀를
นู กุน กา รึล คือ รี วอ เฮท จโย เน คยอ เท อิน นึน คือ นยอ รึล
(ผมโหยหาใครคนนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างผม)
My love for you goes on and on and on...
(รักที่ผมมีให้คุณจะคงอยู่ตลอดไป)”
ยุนโฮรีบไปหาแผ่นลดไข้พร้อมกับร้องเพลงด้วยน้ำเสียงทุ้มอันมีเสน่ห์ของตัวเองเสียงดังตามที่ได้สัญญากับยูชอนไว้ แอบกังวลอยู่เล็ก ๆ ว่ายูชอนอาจจะยังกลัวอยู่ แต่ตอนนี้เขาก็คงจะทำได้แค่เพียงร้องเพลงเสียงดัง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายนั้นมั่นใจว่าเขายังอยู่ดูแลอยู่ใกล้ ๆ ตลอด
ทันทีที่ร่างสูงเดินหายไปจนสายตาของเขาไม่อาจจะมองเห็นได้ ความกลัวมันก็เริ่มโจมตีเขาอย่างช้า ๆ หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่กำลังขับร้องเพลงของพวกเขานั้นมันฟังดูอ่อนโยนจนเขารู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด ราวกับว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา คอยดูแลเขาอยู่ใกล้ ๆ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้ยืนอยู่ด้วยแท้ ๆ
"움직이지 않는 나무처럼
อุม จี กี จี อัน นึน นา มู ชอ รอม
(เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่คงที่ไม่ไปไหน)
오랫동안 그대 곁에서 그늘이 되어 줄께요
โอ เรท โต งัน คือ เด คยอ เท ซอ คือ นือ รี ทเว ออ จุล เก โย
(ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ผมก็ยังคงยืนอยู่ข้างคุณ)
내 사랑은 goes on and on and on
เน ซา รา งึน goes on and on and on
(รักของผมจะคงอยู่ตลอดไป)”
ไม่รู้ว่าเพราะความหมายของเพลงหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจได้มากขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เคยคิดเพียงแค่ว่าเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ไพเราะเพลงหนึ่งที่เขาชอบ แต่ในตอนนี้เพลงนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกว่ากำลังได้รับการดูแลและได้รับความรู้สึกห่วงใยจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มนั่น...
น้ำเสียงน่าฟังยังคงขับร้องเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนป่วยก็นอนฟังมันด้วยรอยยิ้มบางเบาที่เผยออกมาตอนไหนเขาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เปลือกตาสีมุกเลื่อนลงมาปิดดวงตากลมอย่างช้า ๆ จนเขามองไม่เห็นภาพตรงหน้า ตอนนี้ควรจะให้ตัวเองได้นอนพักคงจะดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเจอกับความทรมานจากพิษไข้เยอะเลยล่ะ...
...ตอนนี้...เราคงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ...
...มีพี่ยุนโฮคอยอยู่ดูแลเคียงข้างแบบนี้...คงจะปลอดภัยแล้วล่ะนะ...
...ขอบคุณนะครับ...พี่ยุนโฮ...
+:+:+:+:+:+:+ Sick +:+:+:+:+:+:+
ยุนโฮที่เดินไปหาแผ่นลดไข้อยู่ครู่หนึ่งเดินกลับเข้ามาในห้องทั้ง ๆ ที่ยังไม่หยุดร้องเพลง แต่ทันทีที่ดวงตาคมหันไปเห็นคนป่วยเขาก็ต้องรีบหุบปากลงแทบไม่ทัน ยูชอนนอนหลับตาพริ้มพร้อมกับลมหายใจที่ดูจะเร็วผิดปกติเล็กน้อยเนื่องจากพิษไข้ แต่ท่าทางแบบนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้ปล่อยให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในห้วงนิทราเสียแล้ว
เตียงนุ่มยุบลงเนื่องจากน้ำหนักของร่างสูงที่หย่อนตัวลงนั่ง แผ่นลดไข้ที่อยู่ภายในมือถูกย้ายไปแปะอยู่บนหน้าผากมนเพื่อลดอุณหภูมิของคนป่วยลง ยุนโฮพยายามแปะแผ่นลดไข้อย่างเบามือด้วยกลัวว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาได้
ดวงตาคมจดจ้องใบหน้ามนของอีกฝ่ายอย่างพินิจ เปลือกตาสีมุกนั้นปิดบังดวงตากลมสีนิลเอาไว้จนหมด ริมฝีปากอิ่มที่ดูซีดลงเผยอหอบเอาอากาศเข้าไปเนื่องจากหายใจลำบาก ใบหน้าขาวใสที่ติดจะซีดนิด ๆ นั้นทำให้ร่างสูงต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วง
“...อย่าเป็นอะไรไปมากกว่านี่ล่ะ...ฉันเป็นห่วงมากเลยรู้มั้ย”
ยุนโฮพูดออกมาเบา ๆ ราวกับต้องการจะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ฝ่ามือหยาบลูบเรือนผมนุ่มแผ่วเบา พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกฉาบไว้บนใบหน้าคม ยุนโฮใช้หลังมือทาบที่แก้มใสก่อนจะเลื่อนไปทาบที่ต้นคอขาวเพื่อเช็คดูว่ายูชอนนั้นไข้ลดลงบ้างหรือไม่ ผลที่ได้ก็ดูจะไม่ต่างจากตอนแรกนัก ทำให้ยุนโฮต้องถอนหายใจออกมาอย่างกังวล
“เป็นไข้แบบนี้จะกินข้าวเช้าที่แจจุงทำไว้ให้ได้เหรอเนี่ย...”
ริมฝีปากหนาเชิดขึ้นเล็กน้อย อาหารมื้อเช้าที่แจจุงทำให้มันอร่อยมาก ๆ ก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่อาหารที่จะเหมาะกับสภาพคนป่วยหนักแบบนี้ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ตอนนี้เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างให้ยูชอนทานสักนิด ไม่อย่างนั้นยูชอนก็คงจะไม่ได้กินยาเพื่อรักษาไข้แน่ ๆ
“เอาว่ะ ไปทำข้าวต้มให้ยูชอนหน่อยละกันเรา”
ร่างสูงตัดสินใจก่อนจะถอนหายใจพรู่ นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ทำอาหารให้สมาชิกภายในวงทาน ถึงจะไม่ได้ทำอาหารเก่งเหมือนแจจุง แต่รสชาติอาหารที่เขาทำมันก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปหรอกนะ
ยุนโฮจ้องมองใบหน้าคนป่วยที่หลับตาพริ้มอีกครั้งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกกะว่าจะลุกขึ้นไปทำข้าวต้มให้ยูชอนเดี๋ยวนี้เลย แต่พอได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ภาพเหตุการณ์ที่ยูชอนดึงชายเสื้อของเขาไว้ พร้อมกับพูดและส่งสายตาอ้อนวอนมานั้นมันกลับฉายซ้ำไปมาอยู่ในหัวของร่างสูงไม่ยอมหยุด ยิ่งนึกถึงมันก็ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเขาบีบรัดจนเจ็บไปหมด
เป็นเวลานานแล้วที่ยุนโฮไม่ได้เห็นยูชอนแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะร้องไห้บ่อย แต่ไม่นานนักยูชอนก็จะกลับมาสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น ๆ เหมือนปกติ พอได้มาเห็นยูชอนเป็นแบบนี้ ราวกับว่าความรู้สึกภายในใจลึก ๆ ของเขามันกำลังก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจจะยับยั้งความรู้สึกนั้นไว้ได้เลย
...อยากปกป้อง...
...อยากดูแล...
...อยากจะอยู่เคียงข้างเสมอ...
ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันไหนที่เขาเผลอคิดแบบนี้กับยูชอน แต่เขารู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่วันที่เขารู้สึกแบบนั้น บางทีเขาก็รู้สึกหึงหวงในตัวยูชอนมากขึ้น แต่เขาก็พยายามที่จะไม่แสดงท่าทางให้ร่างโปร่งได้รับรู้ เพราะเขารู้ดีว่าอาจจะเป็นแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นก็ได้ที่มีความรู้สึกพิเศษแบบนี้ให้กับอีกฝ่าย
มือหยาบปัดผมที่ปรกอยู่ที่หน้าผากมนออก ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนาลงไปจุมพิตอย่างแผ่วเบา เป็นเวลาครู่หนึ่งกว่ายุนโฮจะยอมผละริมฝีปากออกจากหน้าผากมนนั่น สัมผัสที่ร่างสูงมอบให้นั้นบางเบาแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนมากมาย ราวกับต้องการส่งไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่ยุนโฮเก็บไว้ในใจตลอดมา
“...หายไข้เร็ว ๆ ล่ะ เดี๋ยวฉันมานะยูชอน”
ยุนโฮลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องครัวเพื่อที่จะทำอาหารเช้าให้สำหรับยูชอนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่ขับร้องเพลงของตัวเองด้วยน้ำเสียงน่าฟังเสียงดังพอสมควร เผื่อว่าระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ยูชอนแล้วอีกฝ่ายดันตื่นขึ้นมาซะก่อน ยูชอนจะได้ไม่กังวลว่าไม่มีใครคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ
ยูชอนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะนอนขดอยู่ในผ้านวมผืนนุ่มอีกครั้ง เปลือกตาสีมุกปรือขึ้นเล็กน้อยแต่ดวงตาของเขาก็ไม่ได้เห็นภาพอะไรชัดเจนมากนัก เพียงแต่เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสอยู่ที่หน้าผากของเขาครู่หนึ่งในตอนที่เขากำลังหลับอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่สัมผัสที่แผ่วเบา แต่เขากลับรู้สึกดีอย่างประหลาด อยากจะให้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นมันไม่จางหายไปเลยแม้แต่นิด
...เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ...
...รู้สึกอบอุ่น...จนไม่อยากให้สัมผัสนั้นมันหายไปเลยแหะ...
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังมาจากนอกห้องมากระทบกับหูของเขาทำให้ยูชอนยกยิ้มขึ้นบางเบา เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ อีกครั้ง พร้อมกับใจที่พองโตและโหยหาถึงความรู้สึกอันแสนอบอุ่นที่ตนเพิ่งได้รับมาก่อนหน้านี้
+:+:+:+:+:+:+ Sick +:+:+:+:+:+:+
“เอาล่ะ เสร็จเรียบร้อย”
ยุนโฮพูดออกมาทันทีที่จัดการตักข้าวต้มใส่ถ้วยจนเรียบร้อยแล้ว ถ้วยขนาดพอเหมาะถูกย้ายไปวางบนถาดที่มีแก้วน้ำและยาลดไข้วางไว้อยู่ก่อนหน้านี้ ร่างสูงจัดการยกถาดเดินไปหาคนป่วยที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาหรือยังด้วยรอยยิ้มประจำตัว
...กว่าจะทำเสร็จ...เสียเวลาไปเยอะเหมือนกันแหะ...
ขาเรียวยาวพาร่างสูงมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียงคนป่วยภายในเวลาไม่นาน ยุนโฮหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงของจุนซูที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ก่อนจะวางถาดลงข้าง ๆ ตัวอย่างแผ่วเบา
...จะปลุกให้ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนดีมั้ยนะ?...
ร่างสูงหันไปมองร่างโปร่งพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจ ก้อนผ้าห่มกลม ๆ ก็เริ่มขยับยุกยิกเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายคงใกล้จะตื่นแล้ว ยุนโฮจึงนั่งนิ่งรอให้ยูชอนตื่นเองเสียดีกว่า
“อืม...”
เปลือกตาบางปรือขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อปรับสภาพสายตา ดวงตากลมโตมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างงัวเงีย แขนเรียวยกขึ้นเกยบนหน้าผากมนของตัวเองอย่างที่เคยทำในเวลาตื่นนอน แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่อย่างเช่นปกตินั้นมันทำให้คิ้วเรียวต้องเลิกขึ้นอย่างสงสัย
...ทำไมรู้สึกสบายตัวแปลก ๆ แหะ?...
ยูชอนยกแขนขึ้นแกว่งไปมาเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังนอนอยู่ รู้สึกร่างกายมันเบาขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อุณหภูมิในร่างกายก็ดูจะลดลงไปเยอะ รู้สึกอากาศภายในห้องนั้นอุ่นกำลังดี ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกนั้นรู้สึกว่ามันหนาวจนแทบจะแช่แข็งเขาได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
...แค่ติดแผ่นลดไข้มันช่วยได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...
...รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยแหะ...
ท่อนแขนเรียวถูกใช้เป็นที่ดันตัวร่างโปร่งให้ลุกขึ้นนั่ง ผ้านวมผืนนุ่มเลื่อนลงมากองที่หน้าขาเรียว ยูชอนใช้หลังมือขยี้ตาตัวเองเบา ๆ เพราะอาการงัวเงียที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ใบหน้าขาวก็ต้องหันไปอีกทาง เมื่อมีเสียงทุ้มที่คุ้นเคยนั้นเอ่ยถามดังอยู่ใกล้ ๆ
“ตื่นแล้วหรอ?”
คำถามที่ไมต้องการคำตอบนั้นทำให้ยูชอนยกยิ้มบางไปให้อีกฝ่าย ยุนโฮยกยิ้มตอบกลับพลางหยิบถาดที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา ก่อนจะย้ายตัวเองและถาดนั้นไปอยู่ที่เตียงของคนป่วยแทนอย่างรวดเร็ว
“ไข้ลดบ้างรึยังเนี่ย? ขอฉันวัดไข้หน่อยสิ”
ยุนโฮใช้ฝ่ามือทาบลงที่หน้าผากมนเพื่อตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างโปร่ง ยูชอนยกมือขึ้นมาขยี้ตาอีกครั้ง อาจจะเพราะพิษไข้ที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นทำให้ความงัวเงียมันหายไปค่อนข้างมาก แต่การกระทำแบบนั้นมันทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ยูชอนไม่คาดคิด
ทันทีที่เขาเลื่อนมือลง ภาพตรงหน้าที่ยังดูเลือนรางอยู่เล็กน้อยนั้นทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าใบหน้าคมของอีกฝ่ายกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้ ยุนโฮแนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากของยูชอนเพื่อวัดไข้อีกครั้ง ร่างโปร่งเบิกตากว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ๆ อย่างรวดเร็ว
ดวงตาคมที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบนั้นทำให้ยูชอนต้องหลับตาปี๋และเม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่เคยเห็นสายตาของยุนโฮในระยะใกล้ถึงขนาดนี้ พอมาเจอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเกิดความรู้สึกแปลก ๆ เพราะอะไร แต่สายตานั้นมันทำให้เขารู้สึกเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา แล้วไหนยังจะลมหายใจของอีกฝ่ายที่รินรดอยู่ใกล้ ๆ จนเขารับรู้ได้นั่นอีก มือเรียวกำผ้านวมผืนนุ่มแน่น ตอนนี้แม้แต่การหายใจเขายังไม่กล้าจะทำเลยด้วยซ้ำ
“อืม~ ไข้ลดลงหน่อยแล้วนี่”
ยุนโฮพูดออกมาโดยที่ยังไม่ได้ผละตัวออก เสียงทุ้มที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ยูชอนสะดุ้งเล็กน้อย ฝ่ามือเรียวยิ่งกำผืนผ้านวมแน่นกว่าเดิม ดวงตาคมมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้หลับตาปี๋ไม่กล้าสบตากับเขา ส่งผลให้ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะผละตัวออกมาจากร่างโปร่งที่ใครเห็นก็รู้แน่นอนว่าตอนนี้ยูชอนกำลังเขินรุ่นพี่ของตัวเองมากขนาดไหน
...เฮ้อ...ก็เล่นทำตัวซะน่ารักขนาดนี้...
...แล้วฉันจะตัดใจไม่ให้ชอบนายได้ยังไงเนี่ย...ยูชอน...
“ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า?”
“อะ...เอ่อ...ก็...นิดหน่อย...”
ยูชอนลืมตาขึ้นทันทีที่ยุนโฮผละตัวออก แต่ทันทีที่ดวงตากลมเห็นใบหน้าคม ใบหน้าใสก็หลุบลงต่ำพลางตอบเสียงอู้อี้ แต่เพราะอยู่กันภายในห้องเงียบ ๆ เพียงสองคนจึงทำให้ยุนโฮได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“อืม ยังไงก็ดีขึ้นบ้างแล้ว ตอนนี้นายมากินข้าวเช้าก่อนนะยูชอน”
ยุนโฮหันไปหยิบถ้วยข้าวต้มขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นมา มือหยาบหยิบช้อนขึ้นตักข้าวต้มขนาดพอดีคำขึ้นมาพลางเป่าเบา ๆ ให้หายร้อน ยูชอนที่เงยหน้าขึ้นมามองเห็นแบบนั้นก็หลบสายตาไปแว่บหนึ่ง ถ้ายุนโฮทำท่าทางแบบนั้นก็เดาได้เลยว่าตอนนี้รุ่นพี่คนนี้คงจะต้องป้อนข้าวต้มให้เขากินอย่างแน่นอน
“ยูชอน อ้าม~”
ยุนโฮอ้าปากกว้างพร้อมพูดเสียงยาน ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มอย่างเคย พลางเลื่อนช้อนไปใกล้กับริมฝีปากอิ่ม ยูชอนหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางของรุ่นพี่ ก่อนที่จะอ้าปากรับอาหารมื้อเช้าคำแรกเข้าไป ร่างโปร่งเคี้ยวหงุบหงับไม่กี่คำก็จัดการกลืนอาหารอ่อน ๆ ลงคออย่างรวดเร็ว
“อะ...อร่อยมั้ย?”
ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก ยูชอนสบตากับอีกฝ่ายโดยที่แก้มใสนั้นพองลมขึ้นนิด ๆ ทันทีที่ริมฝีปากอิ่มเริ่มขยับเอื้อนเอ่ย ยุนโฮนั้นดูจะลุ้นในคำตอบของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ก็...พอกินได้ฮะ”
“อ่า...งั้นหรอ”
ยูชอนตอบด้วยรอยยิ้มบาง แต่คำพูดนั้นแทบจะกรีดลงไปที่ใจดวงน้อย ๆ ของยุนโฮซะเป็นแผลเหวอะหวะกันเลยทีเดียว ร่างสูงยิ้มแหย ๆ ก่อนจะตักข้าวต้มให้คนป่วยได้กินต่อ
...สงสัยคงต้องไปพัฒนาฝีมือสักหน่อยแล้วล่ะ...
แต่ยังไม่ทันที่ยุนโฮจะเลื่อนช้อนป้อนข้าวต้มให้คนป่วย ยูชอนก็หลุดหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น ร่างสูงกระพริบตาปริบ ๆ มองอีกฝ่ายที่ยังคงหัวเราะไม่ยอมหยุดด้วยสายตางุนงง แต่ท่าทางแบบนั้นมันยิ่งทำให้ยูชอนหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“พี่ยุนโฮ ทำไมพี่ทำหน้าแบบนั้นล่ะ ฮะ ๆ ๆ”
“ปะ เปล่าซะหน่อย”
“เมื่อกี้ผมพูดเล่นนะ ข้าวต้มนี้อร่อยมากเลยล่ะ”
ยูชอนพูดโดยที่ยังหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ยุนโฮที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่งราวกับสมองนั้นมันทำงานช้าผิดปกติ ก่อนจะยกยิ้มกว้างออกมาให้อีกฝ่าย
“เป็นไข้แล้วยังมาแกล้งพี่อีกนะ”
ยุนโฮที่ดูจะดีใจจนเก็บเอาไว้ไม่มิดนั้นทำให้ร่างโปร่งยกยิ้มกว้างเช่นกัน ข้าวต้มที่ร่างสูงลงมือทำด้วยตัวเองค่อย ๆ พร่องลงไปทีละนิด ยูชอนจัดการรับข้าวต้มที่ร่างสูงป้อนให้ลงสู่กระเพาะคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้คนที่กำลังป้อนให้อยู่นั้นดูจะดีใจที่ยูชอนชอบอาหารฝีมือของเขา
“เอ้า คำสุดท้ายแล้ว อ้าม~”
ร่างสูงยื่นข้าวต้มคำสุดท้ายไปที่ริมฝีปากอิ่ม พร้อมกับทำท่าทางเหมือนกับตอนที่เขาเริ่มป้อนข้าวต้มให้ยูชอนในตอนแรก ริมฝีปากอิ่มจัดการรับมันไว้อย่างเต็มใจ ก่อนจะยกยิ้มให้รุ่นพี่ราวกับจะบอกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยมาก ๆ
“เอาล่ะ คราวนี้ก็ต้องกินยาลดไข้ด้วยนะ”
ยุนโฮพูดในขณะที่หันไปจัดการวางถ้วยลงบนถาด แก้วน้ำกับยาลดไข้ถูกร่างสูงหยิบยื่นไปให้คนป่วยที่นั่งมองมาทางเขานิ่ง ยูชอนจัดการรับมันมาพลางพูดขึ้น
“พี่ยุนโฮ ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรล่ะ?”
ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ยูชอนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเอ่ยถามต่อ
“ตอนที่ผมหลับ พี่ได้ทำอะไรที่หน้าผากผมรึเปล่า?”
ร่างโปร่งถามเสียงนิ่ง ดวงตากลมจดจ้องไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายเป็นการขอคำตอบ ยุนโฮที่ถูกถามชะงักทันทีที่ได้ยินคำถามจากปากของรุ่นน้องคนสนิท คำถามที่ฟังดูจะตอบง่าย ๆ แต่มันกลับทำให้ในใจของเขานั้นมันสับสนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นควรจะตอบออกไปตามตรงหรือจะพูดปฏิเสธยูชอนออกไปดี ยิ่งได้เห็นสายตาที่มองมา มันยิ่งทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว
...ถ้าพูดออกไปตรง ๆ...
...ยูชอนจะรังเกียจฉันรึเปล่านะ?...
...แล้วถ้าฉันไม่บอกออกไป...
...ยูชอนก็คงจะยิ่งสงสัยในตัวฉันมากกว่าเดิมสินะ...
“...เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาเช็ดตัวให้นายก่อนนะ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงพร้อมกับหยิบถาดที่มีถ้วยวางอยู่ ทำราวกับว่าสิ่งที่ยูชอนพูดถามมานั้นไม่ได้ผ่านเข้ามาในโสตประสาทการรับฟังของเขาเลยแม้แต่นิด ขาเรียวยาวก้าวเร็ว ๆ ราวกับกำลังจะต้องการหนีความจริงอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวนั้นไม่ต้องการที่จะให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ไม่นานนักร่างสูงก็หายเดินออกไปจนดวงตากลมโตไม่สามารถที่จะมองเห็นร่างของรุ่นพี่ได้ ยูชอนนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเช่นเดิม ไม่มีการเรียกยื้ออีกฝ่ายให้อยู่กับตน ไม่มีการเอื้อมมือไปรั้งอีกฝ่ายให้นั่งตอบคำถามของตนต่อ ร่างโปร่งไม่ได้ทำอะไรเพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบจากรุ่นพี่คนสนิทเลยแม้แต่นิด
...หากแต่ถ้ายุนโฮลองหันกลับมามองอีกสักนิด...
...ยุนโฮก็คงจะได้เห็นในสิ่งที่ตนเฝ้าปรารถนาจะเห็นมาตลอด...
...ใบหน้าใสที่ถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเป็นที่สุด...
+:+:+:+:+:+:+ Sick +:+:+:+:+:+:+
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างสูงก็กลับมานั่งอยู่ที่เตียงของคนป่วยเหมือนเดิมอีกครั้ง พร้อมกับขันน้ำขนาดกลางที่มีผ้าขนหนูสีขาวผืนนุ่มขนาดเล็กพาดไว้วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง มือหยาบจัดการใช้ผ้าผืนนุ่มชุบน้ำพลางบิดให้มีน้ำหมาด ๆ ก่อนจะเลื่อนผ้าผืนนั้นไปสัมผัสกับใบหน้าเนียนใสที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ
ทั้งสองไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ให้หลุดออกมาจากริมฝีปากของตัวเองเลยแม้แต่นิด ยุนโฮในตอนนี้ไม่กล้าที่จะบอกถึงความรู้สึกจริง ๆ ที่มีอยู่ภายในใจนั้นได้แต่นั่งเช็ดตัวให้รุ่นน้องเงียบ ๆ ไม่อยากจะให้เรื่องมันบานปลายไปกว่านี้ ไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ต้องพังทลายลงเพราะการพลั้งเผลอของตัวเอง
ร่างสูงที่เห็นตั้งแต่แรกว่ายูชอนนั้นก็นั่งเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรเหมือนกับตนนั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดและกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่รู้ว่ารุ่นน้องที่เขารักจะสงสัยหรือหวาดระแวงอะไรในตัวเขารึเปล่า แต่เขานั้นก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ
แต่ยุนโฮนั้นกลับไม่รู้เลยสักนิด ว่าการที่ยูชอนนั่งนิ่งนั้น ความจริงแล้วยูชอนกำลังนั่งมองใบหน้าของรุ่นพี่ตาไม่กระพริบ สำรวจใบหน้าคมที่ดูมีเสน่ห์จนเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกฝ่ายนั้นหน้าตาดีมากเพียงใด
ตอนที่ยุนโฮลุกขึ้นเดินหนีไม่ยอมตอบคำถามของเขานั้นมันเป็นเรื่องที่ยูชอนได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว คนอย่างชองยุนโฮนั้นถ้าไม่คิดที่จะตอบออกมาตรง ๆ แสดงว่าร่างสูงนั้นจะต้องมีความรู้สึกพิเศษมอบให้กับคน ๆ นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมาชิกทุกคนในวงรู้กันหมด พอได้เห็นแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้เลยว่าสัมผัสอันแสนอบอุ่นที่เขาได้รับยามที่เขากำลังโดนพิษไข้ทำร้ายอย่างหนักนั้นมาจากใคร
...เพียงแค่ได้รับรู้แค่นั้น...หัวใจมันก็พองโตขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น...
ยูชอนค่อย ๆ หลับตาลง เพื่อที่จะให้รับรู้ถึงสัมผัสอันอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยที่ยุนโฮกำลังมอบให้กับเขาให้มากที่สุด มือหยาบที่กำลังจับผ้าขนหนูผืนนุ่มซับไปตามใบหน้าของเขาอย่างเบามือ ทุก ๆ สัมผัสที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นมันทำให้เขาแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหว
...รู้สึกดีจนไม่อยากจะให้สัมผัสนี้มันเลือนหายไป...
...อยากจะให้คนที่ชื่อ ชอง ยุนโฮ คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ไปตลอด...
“พี่ยุนโฮ...”
ร่างโปร่งพูดออกมาเบา ๆ ทันทีที่ยุนโฮเช็ดหน้าของเขาเสร็จแล้ว เปลือกตาบางปรือขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะหันไปมองใบหน้าคมที่ตอนนี้กำลังเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
“มีอะไรเหรอ?”
“...ถึงพี่ไม่ตอบเรื่องเมื่อกี้ แต่ผมก็รู้นะ”
ยูชอนพูดสั้น ๆ ไว้เพียงแค่นั้น หากแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความหมายมากมายที่ยุนโฮก็เข้าใจถึงความหมายนั้นได้เป็นอย่างดี ร่างสูงเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ แต่ถึงอย่างนั้น ยุนโฮก็ไม่ได้คิดที่จะพูดปฏิเสธในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด
ร่างสูงนำผ้าขนหนูในมือไปชุบน้ำอีกครั้ง ยูชอนหันไปมองรุ่นพี่ที่ยังคงเอาแต่นั่งดูแลเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็น และยูชอนก็ปล่อยให้ยุนโฮเริ่มใช้ผ้าขนหนูเช็ดที่แขนของเขาต่อ ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“แต่ผมก็...ไม่ได้รังเกียจพี่นะ”
มือหยาบที่กำลังเช็ดแขนเรียวชะงัก ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตากับดวงตากลมที่เบือนหนีไปอีกทาง ริมฝีปากอิ่มเชิดขึ้นเล็กน้อยพอน่ารัก ใบหน้าใสที่ซีดลงเล็กน้อยนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อน่าดูยิ่งนัก ดวงตาคมกระพริบปริบ ๆ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยสักนิด แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเขานั้นมันกลับทำให้เขาดีใจจนหัวใจพองโตจนคับอกไปหมด
...ดีจัง...ที่ยูชอนไม่ได้เกลียด...
ยุนโฮไม่ได้พูดอะไรออกมา มีแต่ริมฝีปากหนาที่ยกยิ้มกว้างให้รุ่นน้องเป็นการตอบกลับ รอยยิ้มที่ดูราวกับจะเป็นการขอบคุณนั้นมันทำให้ยูชอนต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้ง แค่เห็นใบหน้าคมที่ดูมีความสุขนั้นมันก็ทำให้เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก
และก็เป็นอีกครั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งสองกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความอึดอัดและความกังวลที่อยู่ภายในตัวร่างสูงมันไม่มีอีกแล้ว มันมีแต่ความสุขและความดีใจที่แทรกเข้ามาแทนที่จนทำให้บรรยากาศรอบ ๆ นั้นดูอบอุ่นอย่างประหลาด
ยูชอนนั่งอมยิ้มพลางมองใบหน้ายุนโฮนิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใบหน้าคมนี้ถึงได้ดึงดูดสายตาของเขาได้มากขนาดนี้ ดวงตาคมที่ดูมุ่งมั่นหากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอยู่ภายใน จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าเรียวเล็ก คิ้วหนาที่เข้ากับใบหน้าคมได้เป็นอย่างดี ทุก ๆ อย่างที่อยู่บนใบหน้าคมนั้นดูลงตัวจนมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
...ชอบ...รึไง?...
...หรือว่า...แค่ชอบมันยังน้อยไปรึเปล่านะ?...
“...ยูชอน...เอ่อ...”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเรียกให้สติของยูชอนกลับมาอีกครั้ง ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ด้วยสายตาที่แสดงถึงความสงสัย ยุนโฮยกมือขึ้นเกาหัวทุยของตัวเองแกรก ๆ ด้วยใบหน้าที่ดูจะลำบากใจในเรื่องอะไรสักอย่าง ยิ่งยูชอนเห็นแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังจะบอกอะไรกันแน่
“คือ...ถอดเสื้อสิ ฉันจะได้เช็ดตัวให้”
ดวงตาคมเหล่มองไปทางอื่นอย่างเขินอายในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งฟังอยู่เช่นกัน ใบหน้าใสขึ้นสีระเรื่อทันทีที่ได้ยินคำพูดจากร่างสูง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องเขินที่ตัวเองจะต้องถอดเสื้อต่อหน้ายุนโฮ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนเขาก็ถอดเสื้อเดินว่อนไปมาในบ้านแบบไม่เคยใส่ใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว
...ก็ผู้ชายเหมือนกัน...จะอายไปทำไม?...
มือเรียวขาวยกขึ้นปลดกระดุมชุดนอนออกอย่างไม่เร่งรีบ ยุนโฮที่เห็นว่ารุ่นน้องนั้นกำลังปลดกระดุมออกนั้นก็เกิดอาการเขินพิลึก ๆ เวลาที่เห็นแผ่นอกสีขาวน้ำนมที่อยู่ภายใต้ชุดนอนตัวประจำของอีกฝ่ายนั้นมันทำให้เขาใจกระตุก ความรู้สึกแปลก ๆ มันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แถมพอยิ่งได้เห็นชัด ๆ มันก็ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายเหนียวอย่างฝืดคอ
ภาพที่ยูชอนกำลังปลดกระดุมเสื้อนั้นมันราวกับเป็นภาพสโลว์โมวชั่นสำหรับร่างสูงยิ่งนัก ยิ่งได้เห็น หัวใจมันก็ยิ่งเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ และทันทีที่ชุดนอนนั้นถูกถอดออกจากเรือนร่างโปร่งบาง เผยให้เห็นเนื้อหนังที่อยู่ภายใต้ร่มผ้า ร่างสูงก็เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคมไม่อาจจะละสายตาไปจากร่างของคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่นิด
เรือนร่างโปร่งบางที่ขาวเนียน ช่วงกระดูกไหปลาร้าที่สวยได้รูปที่เจ้าตัวภูมิใจนักภูมิใจหนาช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก ท่อนแขนเรียวที่มีกล้ามเล็กน้อยแต่มันก็ยังดูเล็กกว่าท่อนแขนของเขาหลายเท่า แต่สิ่งที่เรียกความสนใจให้เขามากที่สุดก็คงจะเป็นปุ่มสีชมพูสองปุ่มที่ประดับอยู่บนแผ่นอกขาวเนียนนี่ล่ะ
...ฮะ...โฮกกกกกก...
...ชองยุนโฮใกล้ตายแล้วครับงานนี้...
...อยาก...อยากจะสัมผัสเรือนร่างตรงหน้าใจจะขาด...
...ทำไงดี...ทำไงดีเนี่ยยยยย!!...
ร่างสูงสะบัดหัวไปมาอย่างแรงสองสามที ก่อนจะหันหน้าหนีไม่ให้ยูชอนเห็นใบหน้าของตัวเองในตอนนี้ ร่างโปร่งกระพริบตาปริบ ๆ มองรุ่นพี่ที่แสดงพฤติกรรมแปลก ๆ ด้วยสายตางุนงง โดยที่เขานั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ยุนโฮนั้นกำลังหันไปสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อไล่ความคิดอกุศลให้ออกไปจากหัว...ถึงแม้ว่ามันจะช่วยได้แค่นิดเดียวเองก็เถอะนะ...
พอตั้งสติได้แล้ว ยุนโฮก็ตัดสินใจหันกลับมาอีกครั้ง ทันทีดวงตาคมได้เห็นผิวขาวเนียนของยูชอน มือหยาบที่ถือผ้าขนหนูอยู่แทบจะสั่นเป็นเจ้าเข้า ร่างสูงพยายามควบคุมให้มันสั่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเลื่อนมือหยาบไปเช็ดตัวให้กับรุ่นน้องที่เป็นไข้ต่อให้เสร็จเรียบร้อย
แต่ใช่ว่าจะมีแต่ยุนโฮเพียงคนเดียวที่เขินกับสถานการณ์ในตอนนี้ ยูชอนนั้นก็แทบจะไม่ต่างอะไรกันนัก ก็ต้องมานั่งเปลือยท่อนบนให้อีกฝ่ายมานั่งเช็ดตัวแบบนี้ เป็นใครจะไม่นึกเขินกันบ้างล่ะเนี่ย
ยุนโฮค่อย ๆ เช็ดไล่มาตั้งแต่ช่วงหัวไหล่มน ก่อนจะค่อย ๆ ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณแผ่นอกสีน้ำนม ผ้าขนหนูนิ่มลากผ่านปุ่มสีชมพูที่ดูเย้ายวนอย่างช้า ๆ เสียงครางอือในลำคอสวยดังเล็ดลอดออกมาแผ่วเบา แต่เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ยุนโฮเกิดอาการขนลุกเกรียวได้ไม่ยาก
...สะ...เสียงหวานชะมัด!!...
...ยูชอน...นายอย่าทำเสียงแบบนั้นได้มั้ย?...
...ไม่งั้นวันนี้นายไม่รอดจากเงื้อมมือฉันแน่ยูชอนเอ๋ย...
ยุนโฮขุดประโยคนู่นนี่ที่จะทำให้ใจสงบลงได้ขึ้นมาท่องในใจซ้ำไปซ้ำมา แต่พอได้เห็นหน้าท้องขาวเนียนปุ๊บ ตบะที่เคยมีนั้นมันแตกสลายไปแบบไม่เหลือซากแทบจะทันที ปฏิกิริยาของร่างโปร่งนั้นมันยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทีละนิด ๆ มือหยาบจัดการลากผ้าขนหนูมาเช็ดที่บริเวณหน้าท้องเป็นส่วนต่อไป ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้สติของยุนโฮนั้นใกล้จะแตกเสียแล้ว
“อื้ม...”
.
.
.
‘ปึ้ด!’
เสียงเส้นความอดทนของยุนโฮขาดสะบั้นเมื่อได้ยินเสียงครางเครือจากยูชอน ความอดทนที่เคยมีมันไม่เหลืออยู่อีกต่อไป มือหยาบปล่อยผ้าขนหนูทิ้งไปราวกับมันเป็นสิ่งไร้ค่า นิ้วเรียวตรงเข้าบดขยี้ปุ่มสีชมพูที่นุ่มนิ่มไม่ต่างจากผ้าขนหนูผืนนั้นนักในทันที
“อ๊ะ! พี่ยุ...!”
ยังไม่ทันทียูชอนจะได้พูดท้วง ริมฝีปากอิ่มก็ถูกริมฝีปากหนาประกบปิดปากอย่างรวดเร็ว ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากนุ่มที่เปิดออกด้วยความตกใจในทันที ก่อนที่ร่างสูงจะกดให้ร่างโปร่งนอนราบไปกับเตียงนุ่ม พร้อมกับย้ายให้ตัวเองขึ้นมานั่งคร่อมอีกฝ่าย โดยที่ริมฝีปากนั้นก็ยังคงไม่ละไปจากริมฝีปากอิ่มสีแดงสด
ร่างโปร่งพยายามที่จะดิ้นหนีตามสัญชาตญาณ หากแต่มือหยาบกลับจับข้อมือเรียวทั้งสองรวบไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว ยูชอนจึงไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากบิดตัวไปมาเพียงเท่านั้น
ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากนุ่มที่เขาปรารถนาจะลิ้มรสชาติของมันมานานหลายปี ความหอมหวานที่ได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกนั้นมันทำให้ยุนโฮจมดิ่งไปกับความต้องการที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นร้อนควานสำรวจไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ช่างหอมหวานเกินกว่าจะให้เขาถอดถอนการจูบในครั้งนี้ออกมาได้
ยูชอนหลับตาปี๋ทันทีที่เห็นว่าดวงตาคมของอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนเท่านั้น ดวงตาคมนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจนเขาไม่กล้าที่จะสบตา แล้วไหนจะจูบที่เขาไม่ทันตั้งตัวนี่อีก รับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ลิ้นร้อนกำลังลากผ่านเพดานปากของเขาอย่างช้า ๆ จนเขารู้สึกเสียว และดูเหมือนว่าในตอนนี้ลิ้นร้อนมันกำลังเริ่มมาสนใจกับลิ้นเล็กของเขาที่กำลังพยายามหลบหนีอยู่เสียแล้ว
ไม่รอช้า ยุนโฮจัดการตรงเข้าไปโจมตีเป้าหมายที่เล็งไว้ในทันที เพียงแค่ลิ้นของเขาสัมผัสกับลิ้นของอีกฝ่าย ยูชอนก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาที่แสนน่ารักและบริสุทธิ์นั้นมันทำให้ยุนโฮยิ้มกริ่มอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะจู่โจมลิ้นเล็กที่แสนหอมหวานนั่นตามความต้องการของตัวเองเพื่อดูปฏิกิริยาอันแสนน่ารักนั่นอีกครั้ง
สุดท้ายลิ้นเล็กก็ต้องยอมจำนนให้กับลิ้นร้อนที่บุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน การจูบที่ใช้เวลานานพอสมควรนั้นแทบจะทำให้ยูชอนหมดแรง แรงดิ้นที่เคยมีนั้นมันเหือดหายไปเพราะสัมผัสที่แสนวาบหวิวที่ร่างสูงมอบมาให้ จนกระทั่งมีเสียงครางอือประท้วงดังออกมาจากลำคอสวย ยุนโฮถึงจะยอมผละริมฝีปากออกอย่างช้า ๆ แต่ดวงตาคมก็ยังคงจ้องมองริมฝีปากอิ่มสีแดงสดที่บวมเจ่อที่ตนเองเพิ่งจะลิ้มลองไปนั้นอย่างเสียดายอยู่ลึก ๆ
“พะ...พี่...”
“ขอโทษนะยูชอน แต่พี่ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ”
ยุนโฮพูดออกมาตามที่ตัวเองรู้สึกโดยไม่ปิดบัง ยูชอนที่ถูกมือหยาบกดช่วงหัวไหล่ไว้หน้าซับสีเลือดทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น ยิ่งเมื่อได้สบตากับดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความต้องการและความรู้สึกมากมายนั้นมันราวกับเป็นสิ่งที่จะสะกดไว้ไม่ให้เขามีแรงใด ๆ มาใช้ในการต่อต้านอีกฝ่ายได้เลย
ทั้งสองสบตานิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จมูกโด่งได้รูปจะลงไปซุกไซร้ที่ซอกคอขาว สูดดมกลิ่นประจำตัวของยูชอนที่มันราวกับเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เขาไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ร่างโปร่งหดคอหนีทันทีที่ได้รับถึงสัมผัสนั่น หากแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ตามที่ตัวเองคิดไว้ เมื่อนิ้วเรียวของยุนโฮเริ่มมาบดคลึงปุ่มข้างหนึ่งบนอกของเขาอย่างแรง ไหนจะยังมืออีกข้างที่ลูบไล้ร่างกายของเขาไปทั่วนั่นอีก การเล้าโลมที่เขากำลังได้รับนั้นมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนอย่างหนัก จนร่างโปร่งบางถึงกับต้องดิ้นพล่าน
“ฮะ...อ๊ะ...”
เสียงครางเครือดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มเมื่อยุนโฮนั้นจัดการสร้างรอยตีตราที่ซอกคอขาว ซ้ำยังกัด เลีย ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบจนยูชอนครางเสียงดังขึ้น เสียงครางที่ดังอยู่ใกล้กับใบหูของร่างสูงนั้นมันยิ่งทำให้ความต้องการของยุนโฮพุ่งขึ้นสูงอีกหลายเท่า
“เสียงครางของนายมันเพราะมากเลยนะ ยูชอน”
เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบข้างกับใบหูนิ่ม พลางใช้ฟันคมขบกัดเบา ๆ ยูชอนที่ได้ยินแบบนั้นก็เขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว อยากจะกลั้นเสียงประหลาด ๆ ของตัวเองไว้ก็จริงอยู่ แต่สัมผัสของร่างสูงนั้นมันทำให้เขาไม่อาจจะกลั้นเสียงของตัวเองไว้ได้เลย
ยุนโฮเลื่อนตัวลงมาเล็กน้อย ใบหน้าคมก้มลงคลอเคลียกับหัวนมอีกข้างหนึ่งของยูชอนเล่น ก่อนจะใช้ฟันคมขบกัดพร้อมกับดูดด้วยความหมั่นเขี้ยว ร่างโปร่งเกร็งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง นิ้วเรียวจิกลงกับที่นอนเพื่อระบายความรู้สึกนี้ออกไปบ้าง หากแต่ยูชอนก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ มือที่กำลังหยอกล้อกับยอดอกของเขากลับเลื่อนไปลูบไล้ส่วนไวต่อความรู้สึกของเขาผ่านกางเกงตัวบางเสียแล้ว
“อ๊ะ!! ย่ะ...อย่านะ!”
มือบางเลื่อนมาจับมือหยาบอย่างรวดเร็ว พยายามออกแรงดันให้มือของอีกฝ่ายผละออกจากส่วนนั้นของตัวเอง แต่สัมผัสที่ได้รับนั้นมันทำเอาเขารู้สึกดีอย่างประหลาด เรี่ยวแรงที่มีน้อยลงเพราะพิษไข้นั้นกลับน้อยลงไปอีก ราวกับตอนนี้ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงใด ๆ หลงเหลือ ขาเรียวพยายามหนีบเข้าหากันด้วยความรู้สึกอันแสนปั่นป่วน ซึ่งการกระทำแบบนั้นดูจะขัดใจร่างสูงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“อ้าขาหน่อยสิยูชอน”
ยุนโฮพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม มือหยาบยังคงลูบคลำอยู่บริเวณเดิม แต่คำตอบที่ยูชอนตอบกลับนั้นกลับเป็นการส่ายหน้าไปมา ดวงตากลมโตปิดแน่น ไม่กล้ามองว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายกระทำอะไรอยู่ รับรู้เพียงแต่สัมผัสต่าง ๆ ที่แม้ว่าไม่ได้เห็นก็ทำเอาเขารู้สึกแปลก ๆ ได้ไม่ยาก
ครู่หนึ่งมือหยาบก็ผละออกจากบริเวณแก่นกายของร่างโปร่ง ยูชอนแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำแบบนั้น ร่างโปร่งก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เมื่อมือหยาบนั้นกลับลูบไล้หน้าท้องของเขาก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้กางเกงตัวบาง พร้อมกับตรงเข้ากอบกุมแก่นกายอย่างรวดเร็ว ยูชอนเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะต้องปล่อยเสียงที่เขาคิดว่ามันไม่น่าฟังเสียเลยออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“อึก! ฮ้า~...อ๊ะ...”
มือหยาบขยับรูดส่วนอ่อนไหวอย่างนึกสนุก ใบหน้ามนเหยเกด้วยความเสียวซ่านที่กำลังจู่โจมเขา ภาพของคนเบื้องล่างนั้นช่างน่าหลงใหลสำหรับชองยุนโฮเป็นยิ่งนัก ร่างสูงใช้จังหวะที่รุ่นน้องกำลังรู้สึกปั่นป่วนจากสัมผัสของเขารีบถอดกางเกงและกางเกงในของรุ่นน้องออกอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ! อย่ามองนะ! อ๊า~...”
ถึงแม้ว่ายูชอนจะรู้ตัวและพยายามจะปกปิดส่วนนั้น แต่มือหยาบก็ตรงเข้ารูดแก่นกายสีหวานนั้นอีกครั้งหนึ่ง ยูชอนร้องครางแทบจะไม่เป็นภาษา ฝ่ามืออุ่นที่กอบกุมแก่นกายของเขาไว้นั้นขยับขึ้นลงอย่างเร็ว นิ้วโป้งก็รูดตั้งแต่ส่วนปลายจนไปถึงโคน แล้วไหนจะบางครั้งที่ยุนโฮจงใจใช้เล็บจิกเบา ๆ ที่ส่วนปลายของเขานั่นอีก ฟันคมกัดริมฝีปากอิ่มล่างไว้แน่น สัมผัสแต่ละอย่างที่เขาได้รับนั้นมันทำให้เขารู้สึกดีจนรับแทบไม่ไหว
...ขนาดเวลาที่เขาช่วยตัวเอง...เขายังไม่รู้สึกดีถึงขนาดนี้เลยนะเนี่ย...
“ยูชอน นายอย่ากัดปากแบบนั้นสิ...รู้รึเปล่าว่ามันยั่วฉันขนาดไหนน่ะ”
ประโยคที่ยูชอนไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยินจากปากของร่างสูงนั้นทำให้เขาเขินอายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี คำพูดนั้นมันทำให้เขานึกสงสัยในสภาพของตัวเองในตอนนี้เสียเหลือเกิน ขาเรียวขยับบิดไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นริ้วไปทั้งร่าง นิ้วเท้าจิกลงกับเตียงนอนแน่นอย่างไม่กลัวเจ็บแม้แต่นิด
และดูเหมือนจะเป็นโชคดีของร่างสูงที่ขาเรียวเริ่มขยับออกกว้าง ยุนโฮยกยิ้มกริ่ม โดยที่ยูชอนที่นอนหลับตาพริ้มนั้นไม่มีโอกาสได้เห็น ร่างสูงเลื่อนตัวลงต่ำ พลางเลื่อนใบหน้าคมลงไปใกล้กับแก่นกายสีหวาน ลิ้นร้อนแลบเลียริมฝีปากของตัวเองก่อนจะเลื่อนไปลิ้มรสแก่นกายตรงหน้า ยูชอนที่มัวแต่หลับตาสะดุ้งโหยง ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างตกใจ ร่างโปรงรีบยันตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณของตน
“พี่ยุนโฮ! อ๊ะ! หยุด!...อึก”
ทันทีที่โพรงปากร้อนอมแก่นกายของยูชอน ร่างโปร่งก็แทบจะดิ้นพล่านด้วยความเสียว ลิ้นร้อนที่โลมเลียไปทั่วแก่นกายนั้นราวกับเป็นขนมหวานชั้นเลิศ ความอุ่นของโพรงปากของร่างสูงนั้นทำให้ยูชอนรู้สึกดีเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาอยากจะพูดปฏิเสธ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดเหล่านั้นถึงไม่ยอมหลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาเสียที
ฝ่ามือบางกำผมหยาบสีช็อกโกแลตแน่น ฟันคมกัดริมฝีปากไว้จนแน่น แต่เสียงครางเครือก็ยังคงดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ยุนโฮดูดกลืนแท่งสีหวานโดยไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่นิด ดวงตาคมช้อนตาขึ้นมองใบหน้าใส ดวงตากลมที่ปรือปรอยและหยาดเยิ้มเพราะอารมณ์ที่เขาปลุกปั่น ใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะพิษไข้นั้นซับสีระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ภาพที่เห็นนั้นมันยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของร่างสูงให้โหมกระพือขึ้นมาได้อีกมากโขเลยทีเดียว
“อื้ม!...พี่ยุนโฮ...ม่ะ...มันจะ...อึก...อ๊า~!”
จังหวะที่เร็วขึ้นโดยไม่มีการบอกกล่าวทำให้ยูชอนสั่นสะท้าน และไม่นานนักร่างโปร่งก็ฉีดน้ำกามเข้าสู่โพรงปากร้อน ความอึดอัดที่มีหายไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแค่ความสุขล้นที่เขาเพิ่งเคยจะได้รับ ยูชอนทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่นึกเลยว่าแค่การทำออรัลเซ็กนั้นฝ่ายรับจะเหนื่อยได้ถึงขนาดนี้
ยุนโฮที่ได้ลิ้มรสน้ำของร่างโปร่งเผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ความหอมหวานที่ได้ชิมไปเมื่อครู่มันทำให้ความต้องการของเขาก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หากแต่เขาก็ต้องพยายามระงับสัญชาตญาณดิบของตัวเองไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นยูชอนคงจะโดนเขาทำอะไร ๆ หนักไม่ใช่น้อย
ยุนโฮปาดน้ำรักของยูชอนที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขา พลางเลื่อนนิ้วนั้นไปบดคลึงเบา ๆ ที่ช่องทางด้านหลัง ร่างโปรงสะดุ้งเล็กน้อย หากแต่ความเหนื่อยอ่อนกับพิษไข้ที่ยังหลงเหลืออยู่มันทำให้เขาไม่มีแรงเหลือที่จะห้ามรุ่นพี่ของตัวเองอีกแล้ว
“อ๊ะ!!”
ร่างโปรงหลุดร้องออกมาเสียงดังทันทีที่นิ้วชี้เรียวสอดใส่เข้ามาภายในช่องทางร้อน ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั้งร่างจนเขาต้องดิ้นพล่าน ยุนโฮที่เห็นแบบนั้นจึงรีบก้มลงไปใช้ลิ้นร้อนแลบเลียช่องทางสีหวานเพื่อใช้น้ำลายเป็นตัวช่วยหล่อลื่นเพิ่ม ช่องทางนั้นมันคับแน่นและฝืดจนเขาแทบจะดันนิ้วเข้าไปไม่ได้ การทำแบบนั้นมันแทบจะทำให้ยูชอนแทบจะคลั่งตาย เพราะความเจ็บปวดที่นิ้วเรียวแทรกเข้ามาภายในร่างกายเขา พร้อมกับลิ้นร้อนที่ทำให้เขารู้สึกเสียวซ่าน ความรู้สึกมันตีกันมั่วจนน้ำตาแทบจะไหลจากดวงตากลมโตสีนิลอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ็บ...อึก...พี่ยุนโฮ...อย่าเลีย...”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ เดี๋ยวนายก็เจ็บมากกว่าเดิมหรอก ยูชอน”
พูดเสร็จร่างสูงก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เสียงครางของยูชอนที่เป็นสิ่งปลุกเร้ายุนโฮนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างสูงเห็นว่าสิ่งหล่อลื่นน่าจะพอแล้วก็จัดการดันนิ้วเรียวเข้าไปในช่องทางร้อนต่อ และก็ได้ผล ตอนนี้นิ้วชี้เรียวของเขาถูกช่องทางสีหวานจนสุดความยาวเรียบร้อยแล้ว
ไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน ยุนโฮจัดการขยับนิ้วเข้าออกเพื่อเป็นการเบิกทางอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแทรกนิ้วที่สองและสามเข้าไปติด ๆ สะโพกมนบิดไปมาราวกับจะยั่วเย้า ยูชอนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกทรมานด้วยวิธีการที่แสนโหดร้ายจากอีกฝ่าย หากแต่สัมผัสนั้นมันกลับทำให้เขาติดใจกับรสชาติที่แฝงอยู่ภายใน ยุนโฮใช้เวลาเพียงไม่นานในการขยายช่องทางร้อน หากแต่ยูชอนกลับรู้สึกว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจนเขาอดทนแทบไม่ไหว
นิ้วเรียวถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็วจนร่างโปร่งสะดุ้ง ความอึดอัดที่มีหายไปแทนที่ด้วยความรู้สึกโหวงแปลก ๆ ที่ช่องทางร้อน ยูชอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตากลมปรือปรอย รู้สึกเปลือกตามันหนักจนแทบจะลืมตาไม่ไหว ยุนโฮจัดการรูดซิปกางเกงลง ก่อนจะควักเอาความเป็นชายของเขาออกมาเผชิญกับสิ่งภายนอก มือหยาบจัดการรูดมันขึ้นลงไปมาเล็กน้อยเพื่อจัดการปลุกอารมณ์ของตัวเองให้ขึ้นสูงมากกว่าเดิม
ปลายแก่นกายใหญ่ถูไถกับช่องทางสีหวานที่ขมิบตอดรัดจนร่างสูงต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ยูชอนเกร็งตัวทันทีที่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังดุนดันกับส่วนล่างของเขา ยุนโฮจัดการกดส่วนหัวให้เขาไปในช่องทางอย่างรวดเร็วตามความต้องการของตัวเอง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของคนป่วยที่ดังไปทั่วทั้งห้อง
“อ๊า!!! เจ็บ!!! ฮึก...พี่ยุนโฮ ผมเจ็บ!”
หยดน้ำสีใสไหลรินจากดวงตากลมสีนิล นิ้วเรียวจิกลงกับที่นอนเพื่อระบายความเจ็บปวด แต่ถึงแม้เขาจะพูดออกไปอย่างนั้น ร่างสูงก็ไม่ได้หยุดที่จะกระทำการต่อ แต่กลับค่อย ๆ ดันแก่นกายเข้ามาอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างลำบากที่สิ่งหล่อลื่นนั้นดูเหมือนจะน้อยไป แต่น้ำหล่อลื่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นก็เป็นตัวเสริมที่ช่วยให้เขาขยับแก่นกายเข้าไปได้ง่ายขึ้น
และเมื่อแก่นกายเข้าไปได้จนสุดลำ ยุนโฮก็แช่แก่นกายนิ่ง ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะขยับแก่นกาย แต่เป็นเพราะกลัวว่าถ้าเขาทำตามความต้องการของตัวเองจริง ๆ ร่างโปร่งอาจจะรับแรงของเขาไว้ไม่ไหว ยูชอนสะอึ้นฮักด้วยความเจ็บปวดที่ช่องทางด้านหลัง ขนาดแก่นกายที่แทรกเข้ามาภายในตัวเขานั้นใหญ่กว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก
ใบหน้ามนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำใสนั้นทำให้ยุนโฮรู้สึกสงสารจับจิต ร่างสูงก้มลงพรมจูบที่ใบหน้ามนอย่างแผ่วเบา แรงสะอึ้นน้อย ๆ นั้นทำให้ร่างโปร่งสั่นไหว สัมผัสที่ยูชอนได้รับจากยุนโฮนั้นมันทำให้ยูชอนรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ราวกับหัวใจนั้นกำลังพองโตขึ้นอย่างช้า ๆ จนเขารู้สึกแน่นที่หน้าอก แต่เพียงไม่นานนัก สัมผัสอันอบอุ่นนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสัมผัสที่เร่าร้อนจากแก่นกายที่กำลังกระแทกเข้ามาภายในช่องทางสีหวานของเขาอย่างช้า ๆ
“อ๊ะ...อ๊ะ...”
เสียงครางหวานที่แผ่วเบาเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงกระแทกที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นทีละนิด ช่องทางหวานเริ่มเปิดรับแก่นกายของร่างสูงได้ดีขึ้น น้ำหล่อลื่นที่เริ่มมีมากขึ้น ทำให้ยุนโฮกระแทกแก่นกายเข้าไปให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงตอดรัดรอบแก่นกายที่ทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านเกินบรรยายนั้นทำให้ตัณหาของยุนโฮนั้นมีมากจนยุนโฮไม่อาจจะหยุดยั้งมันเอาไว้ได้เลย
“อา...ยูชอน...เยี่ยมไปเลย”
“อ๊ะ ๆ ๆ...พี่ยุนโฮ...ผมเจ็บนะ”
ร่างสูงกระแทกแก่นกายเสียดสีกับช่องทางสีหวานจนร้อนไปหมด ทุกครั้งที่ยุนโฮขยับกายไปโดนกับจุดกระสันนั้นเรียกเสียงครางหวานของยูชอนออกมาได้อย่างง่ายดาย ซิปกางเกงเย็นเฉียบที่เสียดสีไปกับขาอ่อนทุกครั้งที่ร่างสูงเคลื่อนกายให้แก่นกายแทรกเข้าไปในช่องทางสีหวานนั้นทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งได้ทุกครั้งไป ร่างขาวเนียนที่บิดเร้าไปมาพร้อมกับเสียงครางที่ดังออกมาไม่หยุดนั้นมันช่างเป็นภาพที่สวยงามสำหรับยุนโฮเป็นยิ่งนัก
“ยูชอน...อา...นายรัดฉันแน่นชะมัดเลย”
“อ๊ะ...อื้ม...”
เสียงทุ้มต่ำที่พูดออกมาอย่างเพ้อ ๆ นั้นทำให้ยูชอนเขินอายเสียจนอยากจะพูดด่ารุ่นพี่ของตัวเองเสียจริง หากแต่ร่างกายมันกลับไม่ยอมทำตามที่เขาคิด ไม่มีคำด่าใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มสีแดงสด มีเพียงแค่เสียงครางที่ดูท่าว่าจะไม่หยุดลงง่าย ๆ หากยุนโฮยังคงกระแทกแก่นกายเข้าไปในช่องทางร้อนอย่างรุนแรงอยู่เช่นนี้
ยุนโฮกระแทกแก่นกายใส่ร่างโปร่งอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่เขากระแทกแก่นกายเข้าไปอย่างรุนแรง ช่องทางสีหวานก็จะเปิดราวกับเป็นการต้อนรับเขา พร้อมกับน้ำสีใสที่ไหลย้อนออกมานอกช่องทางสีหวาน พอเขาขยับแก่นกายออกจนส่วนหัวเกือบจะหลุด ช่องทางสีหวานนั้นก็จะตอดรัดแน่นกว่าครั้งไหน ๆ ราวกับต้องการให้เขาสอดใส่เข้าไปในช่องทางนั้นตลอดเวลา
“อ๊า...พี่ยุนโฮ...พอแล้ว...อ๊ะ...หยุดนะ...”
เสียงหวานพูดออกมาสั่นเครือปนไปกับเสียงคราง มือเรียวดันให้แผ่นอกแกร่งนั้นขยับตัวออกไปจากตัวของเขา ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจในตัวรุ่นพี่ หากแต่สัมผัสที่ยุนโฮมอบให้เขานั้นมันทำให้เขารู้สึกดีมากจนเขารับมันไว้ไม่ไหว รู้สึกเสียวซ่านจนร่างกายนั้นมันเกร็งไปทั่วจนถึงปลายนิ้ว ส่วนปลายแก่นกายนั้นมันปวดหนึบไปหมด เขารู้ว่าเขากำลังจะปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า แต่ยุนโฮนั้นรุกเร้าเขาหนักจนเขาแทบจะรับสัมผัสแต่ละอย่างไว้ไม่ไหวแล้ว
“จะหยุดทำไมล่ะยูชอน?...”
“อ๊า!!...พี่ยุนโฮ...ช้า ๆ หน่อยสิ...ผมเสียว...อ๊า ๆ ๆ!!!”
จังหวะที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการบอกกล่าวทำให้ยูชอนร้องครางเสียงหลง ทันทีที่ยูชอนพูดจบประโยค ความหมายจากสิ่งที่ยูชอนพูดออกมามันทำให้ยุนโฮไม่อาจจะกลั้นอารมณ์ที่เก็บกักไว้ได้อีกแล้ว ร่างสูงโหมกายกระแทกเข้าไปในช่องทางสีหวานอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะปลดปล่อยความอึดอัดของเขาและยูชอนให้มันเสร็จเรียบร้อยเสียที
ยูชอนดิ้นพล่านด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ส่วนปลาย รู้สึกทรมานจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ความทรมานนี้หายไปเสียที พร้อม ๆ กับที่ช่องทางด้านหลังที่ถูกแก่นกายร้อนเสียดสีจนรู้สึกเสียวซ่านไปหมด เสียงครางหวานที่ดังก้องไปทั่วนั้นร้องออกมาไม่หยุด ก่อนที่ร่างโปร่งจะเกร็งไปทั้งร่าง พร้อมกับที่แก่นกายสีหวานปลดปล่อยน้ำกามสีน้ำนมออกมาเลอะหน้าท้องขาวเนียนเป็นจำนวนมาก
“อ๊ะ ๆ...ฮ้า~...พี่ยุนโฮ...พะ...พอ...”
ยุนโฮที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยกระแทกแก่นกายเข้าไปไม่หยุด มือหยาบเลื่อนมาบีบเฟ้นก้นนิ่มอย่างมันส์มือ แก่นกายปวดหนึบจนอยากจะปลดปล่อยออกมา ร่างสูงกระแทกแก่นกายให้ลึกและแรงกว่าเดิมเมื่อใกล้จะปลดปล่อย ร่างโปร่งเบิกตากว้าง มือบางกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกดีจนร่างกายแทบจะรับความสุขนั้นเอาไว้ไม่ไหว
“อา~...ยูชอน...ยูชอน...”
แก่นกายใหญ่ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นเข้าไปในช่องทางสีหวาน หากแต่ร่างสูงยังคงไม่หยุดกระแทก น้ำรักสีขาวขุ่นถูกปล่อยออกมาหลายระลอกจนยูชอนต้องเกร็งหน้าท้อง รู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อยจนต้องกัดฟันแน่น เมื่อร่างสูงปลดปล่อยออกมาจนหมด ยุนโฮจึงจะยอมหยุดขยับแก่นกายเข้าหาช่องทางสีหวานนั้นลง
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
เสียงหอบของทั้งสองดังประสานกันจนแยกไม่ออก บรรยากาศภายในห้องนอนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นกรุ่นของน้ำรักของทั้งสอง แขนแกร่งวางค้ำอยู่ข้างกับร่างโปร่ง ดวงตาคมจ้องไปที่ดวงตากลมสีนิลราวกับจะมองทะลุเข้าไปถึงความรู้สึกภายในลึก ๆ ได้ ยูชอนรีบเบือนหน้าหนีอย่างเขินอาย ไม่อยากจะนึกเลยว่าตัวเองนั้นเพิ่งจะผ่านการร่วมรักกับคนที่เป็นรุ่นพี่ของตัวเองไปเมื่อครู่ ยิ่งเห็น เขาก็ยิ่งรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูก
“หายปวดหัวรึยัง?”
ยุนโฮถามขึ้นมาลอย ๆ แต่ก็เรียกให้ยูชอนหันมามองตนได้อย่างง่ายดาย มือบางเลื่อนขึ้นมาจับที่หน้าผากของตัวเองไปมาตามนิสัยของตัวเอง หัวกลมกลิ้งไปทางซ้ายทางขวาบนหมอนใบนุ่มสองสามครั้ง ก่อนจะพูดตอบรุ่นพี่ที่อยู่ด้านบนร่างของตัวเอง
“อืม...ก็เริ่มหายแล้วอ่ะ เหงื่อออกแล้วรู้สึกเหมือนตัวมันเริ่มเบาขึ้นแล้ว”
“...งั้นหรอ?”
ยูชอนพยักหน้าหงึกหงักโดยที่ไม่ได้คิดอะไร โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าลีดเดอร์ของวงนั้นกำลังยกยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“อ๊ะ!”
ยูชอนหลุดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ ๆ แก่นกายที่ยังคาอยู่ในช่องทางร้อนนั้นกระแทกใส่เขาเบา ๆ ยูชอนเงยหน้ามองใบหน้าคม ที่ตอนนี้ยกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างที่เขาไม่เคยเห็นอย่างตกใจ
“พะ พี่ยุนโฮ...”
“งั้นเรามาออกกำลังกายให้เหงื่อออกกันดีกว่าเนอะ นายจะได้หายปวดหัวเร็ว ๆ ^ ^”
“ห๊ะ! จะบ้าเหรอพี่! ไม่เอานะ!”
เสียงร้องโหวกเหวกของร่างโปร่งในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงครางหวานเมื่อยุนโฮจัดการบรรเลงบทเพลงรักอันแสนเร่าร้อนต่ออีกครั้งหนึ่ง เสียงของทั้งคู่ที่ดังประสานไปพร้อมกันนั้นดังก้องไปทั่วห้อง พร้อม ๆ กับความสุขใจของชายหนุ่มที่ชื่อชองยุนโฮและปาร์คยูชอนที่ดูจะต้องรับศึกหนักไปอีกหลายรอบเลยทีเดียว...
.
.
.
.
ถ้าคนที่ผมรักไม่สบาย...
ผมจะดูแลเขา โดยการ “ให้ความอบอุ่น” กับเค้าครับ...
ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ยครับ? ^ ^
THE END >///< (มีใครอยากให้ชองยุนมาดูแลบ้างมั้ย? กร๊ากกกก*)
แจก Fic สำหรับสาวกวงบอยแบนด์ต่างๆ
แจก Fic ที่ทั้งแต่งเองและไม่แต่งเอง รับรองเอาของใครมาเราจะให้เครดิตเวบด้วย
nuffnang
Snow White’s Hope [KiHae][NC-17]
บทความนี้อาจจะมีฉาก อีโรติก บ้างนะฮะ โปรดใช้จินตนาการในการรับชม ถ้าไม่ชอบก็ปิดหน้านี้ซะ ก๊อปได้นะแต่ให้เครดิตด้วย
Title: Snow White’s Hope [HBD Kibum][NC-17]
Paring: Kibum x Donghae
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง >///< วันเกิดสุดที่รักของเบลล์ ~ กิ๊ซซซซซ ซ ซ (สติแตก) เดี๋ยวไว้อวยพรตอนจบดีกว่า ตอนนี้ตามไปอ่านฟิคกันเลยค่า ~ ^ ^
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ถ้าวันเกิดคุณสามารถขอสิ่งที่อยากได้ได้หนึ่งอย่าง...
คุณจะขออะไร?...
เครื่องเกม PS3 พร้อมเกมแผ่นแท้ ส่งตรงจากญี่ปุ่น?...
ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ เอาไว้กอดคลายเหงา?...
แผ่นเพลงเพราะ ๆ สื่อความหมายแทนความรู้สึกในใจ?...
เหอะ...ของแบบนั้น...ผมไม่อยากจะได้สักนิด...
สำหรับผมนะหรอ?
ตอนนี้...สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือ...
‘ของขวัญที่มีชีวิต’
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ร่างสูงที่ดูสง่าผ่าเผยเดินผ่านพนักงานบริษัทมากหน้าหลายตา ที่กำลังส่งสายตาจ้องมองมายังร่างของตนอย่างไม่คิดแม้แต่จะเหลือบมองให้เสียเวลา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า ถ้าหากหันกลับไปมอง ก็คงจะเจอแต่สายตายั่วยวน หรือสายตาที่เป็นประกายจากพนักงานหญิง เผลอ ๆ อาจจะมีมาจากพนักงานชายอีกซะด้วยซ้ำไป
“ท่านประธานหล่อชะมัดเลยอ่ะ~”
“เค้ามีแฟนรึยังน่ะ? ฉันจะมีโอกาสเป็นแฟนเค้าได้มั้ยนะ >///<”
ถึงแม้ว่าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพื่อรักษามาดของประธานบริษัทที่ดี
ประตูไม้หรูถูกเปิดออกด้วยฝีมือของร่างสูง ก่อนจะถูกปิดลงด้วยแรงที่ไม่เบานัก หลังแกร่งเอนพิงไปกับประตู มือหยาบกร้านยกขึ้นขยี้ผมของตัวเองด้วยความเซ็ง และเบื่ออย่างสุดชีวิต ริมฝีปากอวบอิ่มพูดบ่นพึมพำคล้ายกับกำลังท่องคาถาสาปแช่งใครอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้
“จะมองอะไรกันนักหนาว่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นคนกันบ้างรึไง!” คิบอมสบถออกมาอย่างสุดจะทน เปลือกตาหนาปิดลง ร่างสูงสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะค่อย ๆ เผยดวงตาเรียวสีนิลขึ้นอีกครั้ง ดูบรรยากาศภายนอกจากผนังที่ใช้เป็นกระจกทั้งหมดที่อยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา
เก้าอี้นุ่มตัวใหญ่สำหรับประธานบริษัทถูกร่างสูงของคิบอมใช้เป็นที่นั่ง คิบอมเอนตัวฟุบลงกับโต๊ะทำงานราคาแพงตัวใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง เพื่อจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าจากงานที่ผ่านมาในหลาย ๆ วันก่อนหน้านี้
‘ก๊อก ๆ’
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะการนอนหลับอันแสนสุขของท่านประธานบริษัทเป็นยิ่งนัก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ร่างสูงจัดการเซ็ททรงผมที่ยุ่งเล็กน้อยให้ดีขึ้น ก่อนจะบอกอนุญาตให้พนักงานเข้ามาได้
“เข้ามาได้”
‘แอ๊ด~’
“ท่านประธานคะ ช่วยเซ็นรับทราบงานนี้ให้ด้วยค่ะ” พนักงานหญิงหุ่นดี หน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดี พูดพร้อมกับยื่นแฟ้มงานให้คิบอมด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม คิบอมเห็นก็แค่นยิ้มตอบกลับไป นิ้วเรียวยาวจับปากกาขีดเขียนลายเซ็นบนกระดาษสีขาวสะอาดตาตรงมุมขวาล่าง ก็จัดการปิดแฟ้มงานและส่งกลับให้ผู้หญิงตรงหน้า
...โอ้โห...ไม่ค่อยให้ท่าเลยผู้หญิงสมัยนี้...
...อยากให้ฉันจำชื่อได้ล่ะสิ?...เลยพยายามมาหาบ่อยขนาดนี้...
...แต่ขอโทษที...ถึงฉันจะเป็นประธานบริษัทก็เถอะ...
...ฉันก็จำชื่อของเธอไม่ได้หรอกนะ!! ฉันขี้เกียจจำ!!...
แต่ความคิดในใจย่อมหลบซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มบาดใจสาวอยู่แล้ว หญิงสาวรับแฟ้มกลับมา ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกครั้ง และขาเรียวสวยก็เดินออกจากห้องของประธานบริษัทไป
“เฮ้อ...ออกไปซะที” คิบอมพูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอนตัวฟุบลงบนโต๊ะหรูอีกครั้ง เพื่อที่จะพักผ่อนให้เต็มอิ่มสักที
...หึ ๆ เล่นละครได้สมบทบาทจริง ๆ เรา...
...ใครจะไปรู้เล่า...ว่าตัวจริงของฉันมันแย่ขนาดไหน...
‘ก๊อก ๆ’
เส้นความอดทนของคิบอมเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างสูงกัดฟันแน่นเพื่อระงับอารมณ์หงุดหงิด เขาพอจะเดาได้ล่ะว่าใครจะเข้ามา เพราะทุก ๆ วันพนักงานแต่ละคนต่างพากันหาข้ออ้างเพื่อที่จะเข้ามาหาเขาในห้องตลอดวันเลยทีเดียว
...ทำไมมันไม่เอางานไปฝากไว้ที่เลขาฯของกูฟะ!!!!...
แต่ความอดทนของคิบอมที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิด สั่งเตือนให้รักษาภาพพจน์ที่ดีของท่านประธานบริษัทไว้ซะก่อน คิบอมเลยจัดเซ็ททรงผมอีกครั้ง พยายามใช้นิ้วเรียวดันมุมปากให้ยกยิ้มขึ้นอย่างฝืนเต็มที
“เข้ามาได้”
‘แอ๊ด~’
“ท่านประธานคะ มีบริษัทอื่นฝากเอกสารจะมาขอเป็นสปอนเซอร์ให้บริษัทเราค่ะ” นั่นไงล่ะ ตามที่คิบอมคาดเดาไว้เป๊ะ พนักงานหญิงหุ่นดีอีกคนหนึ่งเดินนวยนาดมาหาเขาเพื่อที่จะเอาเอกสารมาให้ ทั้ง ๆ ที่เธอควรจะเอาไปฝากไว้ที่เลขาของเขาเสียมากกว่า
“งั้นเหรอ ขอบใจมาก” และก็เป็นเหมือนอย่างเคย ที่คิบอมจะส่งยิ้มดุจเทพมาจุติไปให้พนักงานสาวใจละลาย แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมันแอบมีเขี้ยวโผล่ออกมาซะด้วย
“ค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง พลางก้มหัวลงให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ
‘ปัง’
“เฮ้ออออ อ อ...ออกไปซะที” ร่างสูงเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้แสนนุ่ม เปลือกตาหนากระพริบสองสามครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงปิดดวงตามีเสน่ห์ไว้จนมิด
‘ก๊อก ๆ’
ปึด !!!!!
เสียงเส้นความอดทนของคิบอมขาดสะบั้นลงไปพริบตา เขาไม่ใช่พ่อพระมาจากที่ไหน และเหตุการณ์ที่เขาไล่ตะเพิดพนักงานก็เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เขาจึงไม่ลังเลเลย ที่จะตัดสินใจทำมันเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา
“ว้อยยยยย!!! จะเข้ามาทำไมนักหนาวะ!!!!”
“ขะ...ขอโทษครับ”
เสียงขอโทษที่ดังเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบา เรียกสติจากคิบอมได้ดียิ่งนัก อารมณ์หงุดหงิดตะกี้ปลิวออกไป กลายเป็นเสียงที่เขาคิดว่าไพเราะมากที่สุดเข้ามาแทนที่
...เสียงนี้มัน...
...หรือว่า!!!!...
ร่างสูงแทบจะกระโดดข้ามโต๊ะแทนการวิ่งอ้อม เพื่อถลาไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว มือหยาบเปิดประตูที่แทบจะกลายเป็นการกระชากอย่างรวดเร็ว
ภาพตรงหน้าที่คิบอมเห็น มันทำให้รอยยิ้มที่หาได้ยากของร่างสูง เผยออกมาได้อย่างไม่ยากเลยสักนิด ใบหน้ามนเนียนใสที่ก้มต่ำในตอนแรก แหงนหน้าขึ้นช้อนตามองท่านประธานที่มีส่วนสูงมากกว่าตน ดวงตากลมโตที่ดูคล้ายกับกำลังสำนึกผิด มันทำให้ใจของคิบอมกระตุกอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ทงเฮเองหรอ ขอโทษนะ พอดีฉันนึกว่าจะเป็นพนักงานคนอื่นน่ะ”
“อ๋อ...ครับ ท่านประธานครับ คือว่าผม...”
“เข้ามาคุยกันข้างในดีกว่า คุยข้างนอกห้องมันไม่ค่อยสะดวกน่ะ” คิบอมเอ่ยขึ้น พลางส่งสายตาไปทางพนักงานที่มองมาหาทงเฮด้วยสายตาอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก และสายตาบางส่วนกลับไม่ได้มองเขา แต่มองมาที่เลขาฯของเขาเสียตาเป็นมัน
...คน ๆ นี้กูเล็งไว้นานแล้ว...
...พวกมึงกรุณาเก็บสายตาไว้ด้วย!!...
...กูหึงแรงนะโว้ย!!!...
ใบหน้ามนหันไปมองตามทางที่ใบหน้าคมหันไป ดวงตากลมโตหันไปมองก่อนจะหันกลับมา ทงเฮกระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้าหงึกหงัก และเดินตามคิบอมเข้าไปในห้องประธานบริษัท
ร่างสูงและร่างเล็กเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาวสีน้ำเงินเข้มภายในห้อง แขนเล็กที่ถือแฟ้มมาจำนวนหนึ่งวางของลงข้าง ๆ ตัวเอง
“ท่านประธานครับ นี่เป็นเอกสารเกี่ยวกับการประชุมในวันนี้นะครับ งานประชุมอันแรกนี้จะเกี่ยวกับ...”
เสียงทุ้มที่ออกจะหวานเสียมากกว่าพูดอธิบายรายละเอียดการประชุมให้กับคิบอมไปเรื่อย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของคนที่ได้ชื่อว่า “ประธานบริษัท” นั้นจ้องมอง “เลขาฯ” ของตัวเองด้วยสายตาแบบไหน นัยน์ตาคมจดจ้องไปที่ใบหน้าหวานน่ารักอย่างไม่ละสายตา ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งเหมือนกับต้องมนต์สะกด
...ทำไมทงเฮถึงได้น่ารักแบบนี้?...
...ทำไมพระเจ้าต้องส่งคนน่ารัก ๆ แบบนี้มาเป็นเลขาฯของผมด้วย?...
...วัน ๆ ผมคงจะได้ทำงานหรอกเนอะแบบนี้...
...แค่ได้เห็นหน้าเค้า...
...สายตาที่จ้องอยู่ที่งาน...ก็ดันเปลี่ยนไปเหลือบมองหน้าของทงเฮทุกทีสิน้า...
“เท่านี้ล่ะครับสำหรับการประชุมในวันนี้ ท่านประธานทำงานต่อเถอะครับ” ประโยคจบการสนทนาของทงเฮดังขึ้น เรียกให้สติของคิบอมกลับเข้าที่ ใบหน้าคมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตอบรับ ร่างเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะก้าวขาเรียวเพื่อออกไปทำงานของตนต่อ
“เดี๋ยวก่อน!”
มือหยาบยื่นออกไปจับข้อมือเล็กไว้ข้างหนึ่ง ใบหน้ามนหันไปมองผู้ที่ขอให้ตนหยุดอยู่ที่เดิมด้วยสายตาที่ใสซื่อ และสายตาแบบนั้นแหละ ที่ทำให้ท่านประธานคิมคิบอม ที่แสนจะเก่งและฉลาดต้องเกิดอาการอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกซะอย่างนั้น
“อ่ะ....เอ่อ....คือว่า....”
“ครับ??”
“เย็นนี้ นายว่างมั้ย?” เห็นเป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แบบนี้ แต่กว่าคิบอมจะกลั่นกรองมันให้เป็นประโยคที่ดูดีได้ขนาดนี้ และพูดออกมาได้เนี่ย มันต้องใช้ความพยายามอย่างสูงยิ่งกว่าการตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจใหม่เสียอีก ทงเฮที่ยืนฟังอยู่ยิ้มตอบกลับไปเมื่อได้ยินคำถามเชิญชวนนั่น
“ว่างครับ”
“จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”
...เยส!!!...
...ในที่สุดก็พูดได้แล้วว้อย!!!...
“เอางั้นหรอ?...ได้เลย คิบอม ^ ^”
อั่ก!!!!
ทงเฮตอบกลับไปโดยใช้ภาษาที่ดูสนิทกันมากกว่าปกติ ซึ่งเขาจะไม่ค่อยได้ใช้กับคิบอมสักเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน แต่เขาทั้งสองคนก็เรียกว่าสนิทกันเข้าขั้นเลยทีเดียว ต่างฝ่ายต่างรู้นิสัยใจคอ และสิ่งที่ต่างฝ่ายชอบและไม่ชอบเป็นอย่างดี
และเพราะความที่ว่าไอ้ประโยคที่ดูแล้วมันฟังดูเหมือนกับว่าสนิทชิดเชื้อกันเหลือเกินนี่แหละ ทำให้หัวใจของคิบอมกู่ร้องด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง แทบจะสิ้นลมลาตายกันเลยทีเดียว นอกจากประโยคนั้นจะทำให้คิบอมแทบกระอักเลือดตายแล้ว ยังแถมด้วยรอยยิ้มสดใสที่ทงเฮมักจะส่งให้เป็นประจำมาเป็นส่วนประกอบแล้ว มันยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใสเสียเหลือเกิน
...โอ๊ย!...
...นี่กะจะตัดขั้วหัวใจกันเลยหรอทงเฮ...
...จะทำอะไรก็สงสารฉันบ้างเถอะ...
...ฉันกลัวจะตายก่อนวัยอันควรเพราะคำพูดกับรอยยิ้มของนายนี่แหละ...
“อ๊ะ ฉันลืมบอกอะไรนายไปอีกอย่างนึงล่ะ” ประโยคประเภทเดิมหลุดออกมาอีกครั้ง ทำเอาคิบอมต้องค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อระงับอาการของก้อนเนื้อที่เต้นตึกตักจนแทบจะทะลุอกออกมาให้เบาลง และตั้งสติ ตั้งใจฟังสิ่งที่ทงเฮกำลังจะบอก
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ เย็นนี้เจอกัน เดี๋ยวฉันจะเอาของขวัญมาฝาก ^ ^”
.
.
.
ฉัวะ!!!!
...อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก...
...มันบาดใจ!...
...มันแทงใจ!...
...มันกรีดหัวใจ!...
...มันทำให้หัวใจฉันหยุดเต้น!!...
“งั้นฉันไปทำงานล่ะ ^ ^”
ทงเฮเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองได้ทำร้ายคิบอมไปมากขนาดไหน ร่างสูงนั่งนิ่งค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม ใบหน้าคมที่มักจะเฉยชากลับซับสีเลือดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ร่างสูงสะบัดหัวไปมาแรง ๆ สองสามครั้ง เพื่อไล่อาการแปลก ๆ ของตัวเอง ก่อนจะหยิบแฟ้มที่ทงเฮให้มาไปวางไว้บนโต๊ะ พลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวนุ่ม และอ่านรายละเอียดครั้งหนึ่ง...ก็ตอนที่ทงเฮพูดน่ะ...เขาแทบจะไม่ได้ฟังอะไรนอกจากจ้องหน้าของทงเฮเลยนี่นา...
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ช่วงเวลาการทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประตูห้องประธานบริษัทถูกเปิดออกโดยฝีมือของเจ้าของ คิบอมจัดการปิดประตูห้อง ก่อนจะถลาตัวมาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่และเบาะนุ่มเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยอ่อน ร่างสูงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง นิ้วเรียวเลื่อนมานวดคลึงที่บริเวณขมับทั้งสองข้างเพื่อคลายความตึงเครียด
“เหนื่อยชะมัด...” เสียงทุ้มต่ำบ่นอุบอิบ ใบหน้าคมหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ที่บ่งบอกเวลาเกือบเย็น ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มขึ้น เมื่อเห็นเวลาที่เขานัดกับทงเฮใกล้มาถึง
...แต่ว่า...ของีบรอก่อนละกัน...
เปลือกตาหนาเคลื่อนตัวลงปิดนัยน์ตาช้า ๆ คิบอมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเพื่อที่จะเข้าสู่การพักผ่อนจากงานต่าง ๆ ที่ผ่านมามากมายภายในวันนี้...และไม่นาน ร่างสูงก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสบายใจ
......
....
...
..
.
.
“บอม...คิบอม...คิบอม”
“งึม...หืม?...”
เสียงคนเรียกชื่อของร่างสูงดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเจ้าของชื่อนัก ทำให้คิบอมที่กำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทราต้องตื่นขึ้น เปลือกตาหนากระพริบถี่เพื่อปรับสายตา และทันทีที่สายตาปรับจนเข้าที่แล้ว ตาตี่ ๆ ของเขาก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ
...โอ้มายก็อด!!!!!!...
...สาบานต่อหน้าพระเจ้าเถอะ...ว่าภาพที่ผมเห็นมันเป็นของจริง!!!...
เจ้าของเสียงที่เรียกปลุกคิบอมนั่นก็คือทงเฮนั่นเอง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเป็นอยู่ในทุก ๆ ครั้งที่คิบอมเหนื่อยจนเผลอหลับไป แต่....ในครั้งนี้มันไม่ใช่
ทงเฮกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงานตัวหรู และส่งสายตามองคิบอม หรือง่าย ๆ ก็คือนั่งไขว่ห้างประจันหน้ากับคิบอมที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่นั่นล่ะ แต่ชุดที่เจ้าตัวใส่อยู่ตอนนี้คือชุดเสื้อแขนกุดรัดรูป ยาวเพียงแค่พอปิดหน้าอก เผยหน้าท้องเรียบเนียน กับกางเกงรัดรูปยาวเพียงคืบกว่า ที่มีหางแมวติดอยู่ด้านหลัง เผยเรียวขาขาวน่าสัมผัส และทงเฮยังเสริมด้วยการใส่หูแมวเพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งเสื้อผ้าทั้งหมดเป็นสีขาว ทำให้แทบจะเผยสัดส่วนทั้งหมดให้คิบอมได้เห็นโดยที่ไม่ต้องถอดอะไรเลยด้วยซ้ำ
...อ่ะ...โอ้ว...
...เลือดกำเดาจะทะลัก...
...เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนที่ยั่วได้น่ากลัวมากขนาดนี้!...
...ทำไมทงเฮเซ็กซี่ได้ขนาดนี้เนี่ย!!...
ภาพตรงหน้านั้นทำให้คิบอมแทบจะพุ่งตัวเข้าไปตะครุบเหยื่ออย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคิบอมจะลุกขึ้นก็ต้องชะงัก ข้อมือของเขาถูกมัดไว้กับที่วางแขนของเก้าอี้ตัวใหญ่ทั้งสองข้าง นั่นทำให้เขาอ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
...โดนเล่นทีเผลอแล้วมั้ยล่ะ คิมคิบอม!...
ทงเฮที่กำลังนั่งไขว่ห้างก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งหย่อนขาลงมาปกติ ขาเรียวสองข้างแกว่งไปมาอย่างไม่คิดอะไร ใบหน้ามนซับสีเลือดก้มงุดเพื่อปกปิดความอาย ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำถาม
“นายอยากได้แมวเป็นของขวัญมั้ย?...”
...อื้อหือ...
...ถามงี้...นายต้องการจะสื่ออะไรฉันเนี่ย ทงเฮ?...
...ถ้าเป็นแมวแบบนายละก็...
...มันก็ต้องอยากอยู่แล้ว!!...
“อยากสิ” คิบอมตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งทำให้ทงเฮเขินมากยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงรู้อยู่แล้ว ว่าอย่างทงเฮน่ะ แค่ใส่ชุดแบบนี้มาเป็นของขวัญให้เขานี้ก็ต้องใช้ความกล้าสุด ๆ เลยล่ะ ก็ทงเฮน่ะใสซื่อซะจนเหมือนเด็กเลยนี่นา
แต่แล้วความคิดที่ทงเฮใสซื่อก็ต้องดับวูบลงไปในทันที เมื่อจู่ ๆ ทงเฮก็หรี่ตามองคิบอมด้วยสายตาหวานเชื่อม ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ อย่างเย้ายวน ลิ้นเล็กแลบเลียกับปลายนิ้วเรียวของตัวเอง ก่อนจะลากปลายนิ้วจากมุมปากมายังปลายคางมนอย่างช้า ๆ
...อึ้งครับท่าน...
ร่างเล็กเลื่อนตัวลงมาจากโต๊ะ ขาเรียวก้าวช้า ๆ ไปหาร่างสูง ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นนั่งคร่อมตักคิบอม วงแขนเล็กยกขึ้นโอบรอบคอของร่างสูง ดวงตากลมโตสบตากับดวงตาคมอย่างยั่วยวน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างเล็ก ทำให้สติของคิบอมเตลิดยิ่งกว่าเดิม
“ทะ...ทงเฮ...” ร่างสูงอึ้งจนพูดไม่ออก ใครจะไปคาดคิดล่ะ ว่าวันนึงจะได้มาเจอกับทงเฮในมาดแมวยั่วสวาทแบบนี้ มือเล็กข้างหนึ่งเลื่อนมาลูบตั้งแต่ลำคอ เลื่อนลงไปช้า ๆ จนกระทั่งถึงหน้าท้องแกร่ง มือเล็กเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง ปัดมือไปมาให้โดนเข็มขัดบ้าง แก่นกายของร่างสูงบ้าง หน้าท้องแกร่งบ้าง ผิวเนื้อที่เสียดสีกับผิวเนื้อผ้า ทำให้คิบอมครางต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ
กระดุมเสื้อของร่างสูงถูกปลดออกจนหมดด้วยมือเล็ก ตามด้วยเข็มขัดที่ถูกถอดตามออกไปอย่างรวดเร็ว ผิวสีแทนและกลิ่นโคโลญที่คิบอมใช้ประจำ กลิ่นที่แสนคุ้นเคยทำให้ทงเฮเผลอซุกหน้าลงกับหน้าอกแกร่ง เพื่อสูดกลิ่นหอมประจำตัว และไม่ลืมที่จะแอบหยอกล้อกับปุ่มสีชมพูด้วยการกัดเบา ๆ อีกด้วย
“อืม...”
“คิบอม...ทำไมหุ่นดีจัง ฉันไม่เห็นมีกล้ามท้องแบบนี้เลยอ่ะ” ทงเฮทำปากยื่น พลางใช้มือลูบกล้ามท้องของคิบอมไปมา ทำเอาคิบอมสยิวได้เหมือนกันนะนั่น
“หึ ๆ ดีแล้วล่ะ ทงเฮเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว” เนื่องจากอารมณ์ที่คุกรุ่น แต่มือกลับถูกมัดไว้ ไม่สามารถเลื่อนมาสัมผัสร่างกายที่เขาต้องการจะครอบครองได้ ใบหน้าคมจึงซุกลงที่ซอกคอหอมกรุ่นของร่างเล็ก สูดกลิ่นหอมจนพอใจ ก่อนจะสร้างรอยความเป็นเจ้าของทิ้งไว้สองสามรอย
“อ๊ะ! คิบอม อย่าทำสิ” ทงเฮทำหน้าดุใส่ร่างสูง แต่คิบอมกลับคิดว่าใบหน้านั้นดูแล้วน่ารักเป็นที่สุด เลยส่งยิ้มตอบกลับไปให้ ทงเฮเห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปอยู่ประชิดกับใบหน้าของคิบอม และประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของร่างสูง
ลิ้นเล็กเลียที่ริมฝีปากล่างของคิบอมไปมา ริมฝีปากเล็กเผยอขึ้นเล็กน้อย และนั่นก็เป็นโอกาสที่คิบอมฉวยให้เป็นกำไรของตนอย่างรวดเร็ว ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากนุ่ม ทงเฮที่ไม่ทันตั้งตัวตาเบิกกว้าง ลิ้นร้อนกำลังรุกรานเข้ามา มันพยายามที่จะหาลิ้นเล็กที่กำลังหลบหนีอยู่ภายใน แต่เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปสำรวจรอบ ๆ แทน วงแขนเล็กโอบกอดคอร่างสูงไว้ มือเล็กสอดเข้าไปในเรือนผมสีดำสนิทของร่างสูงและกำไว้เพื่อคลายความเสียวซ่าน
“อื้ม...อืม...” ลิ้นเล็กที่เริ่มจะตอบกลับ แต่เนื่องจากความไม่เคย ทำให้การตอบกลับนั้นค่อนข้างจะเงอะงะ และดูใสซื่อจนอารมณ์ของคิบอมยิ่งปะทุมากกว่าเดิม ร่างสูงกดจูบให้ลึกยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันกับลิ้นเล็กอย่างเชี่ยวชาญ สอดลิ้นเข้าไปลึกจนทงเฮต้องครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คิบอมยังคงรุกรานอย่างไม่คิดที่จะหยุด ถ้าไม่ถูกมือเล็กข้างหนึ่งที่เลื่อนมาบีบไหล่เขาไว้แน่น จูบนี้คงจะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
“ฮะ...อา....แฮ่ก...” ร่างเล็กหอบเนื่องจากขาดอากาศหายใจ ใบหน้าขาวใสซับสีระเรื่อ ยิ่งทำให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่คิบอมกำลังจะหากำไรต่อนั้น ร่างเล็กก็ลุกออกจากตัก เปลี่ยนไปเป็นนั่งบนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง
“หึ ๆ ไม่มานั่งที่เดิมล่ะทงเฮ? กำลังสนุกเลย” คิบอมหัวเราะ เพราะเขาเห็นว่าทงเฮคงจะยั่วเขาไม่ไหวหรอก ดูสิ แค่จูบก็จะหมดแรงแล้วนะนั่น
“ดูก่อนสิ...แล้วนายจะหัวเราะไม่ออก” ทงเฮยกยิ้มเจ้าเล่ห์
เสื้อผ้าที่แสนจะน้อยชิ้นถูกถอดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่อายต่อสายตาอีกคน ทำเอาคิบอมนั่งค้างไปกับภาพตรงหน้า ร่างเปลือยเปล่าของคนตรงหน้ามันทำให้อารมณ์ของเขาปะทุสูง แก่นกายเริ่มที่จะแข็งขืนขึ้นมาทีละนิด
ร่างเล็กชันขาตั้งขึ้น และแยกขาออกเผยให้เห็นแก่นกายของตัวเองอย่างไม่เขินอาย มือเล็กจัดการกำแก่นกายของตัวเองไว้ พลางรูดขึ้นลงช้า ๆ เพื่อปลุกอารมณ์ของตัวเอง
“อื้ม....” ร่างเล็กหลับตาพริ้ม ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากเบา ๆ แก่นกายที่ถูกรูดขึ้นลง ที่เปิดปิดเผยให้เห็นเนื้อใน ทำให้คิบอมต้องขบกรามจนแน่น ภาพตรงหน้ามันกระตุ้นอารมณ์ของเขามากจริง ๆ แก่นกายแกร่งชักจะแข็งขืนมากขึ้นทุกที ยิ่งมันเสียดสีกับเนื้อผ้าก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของคิบอมปะทุสูงยิ่งขึ้น
...เล่นมาช่วยตัวเองกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้...
...ใครทนไหวก็ไม่ใช่คนแล้วครับ!...
“อ๊า...คิบอม อย่าทำผมสิ” คำพูดที่ไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นจริงเลยสักนิด แต่มันก็ทำให้คิบอมยิ่งเตลิดเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ทงเฮกำลังจินตนาการว่าเขาเป็นคนทำเหรอเนี่ย เสียงครางหวานหูเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ แก่นกายเล็กที่เริ่มแข็งขืนขึ้น และเริ่มมีน้ำใส ๆ บริเวณปลายยอด มันชวนให้คิบอมอยากจะลิ้มลองมันเสียเหลือเกิน
มือหยาบกำจนแน่นทั้งสองข้าง พยายามที่จะแก้เชือกที่มัดอยู่นี้ออกไปให้พ้น ๆ เพื่อที่จะไปทำให้คำพูดของทงเฮเป็นจริงไปซะเลย แต่ก็ทำไม่ได้ ร่างสูงต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้
แต่เหมือนกับทงเฮจะพยายามกลั่นแกล้งเขาเสียเหลือเกิน เมื่อนิ้วเรียวของมืออีกข้างหนึ่งถูกส่งเข้าไปในโพรงปากนุ่ม นิ้วเรียวถูกดูดเลียจนเปียกชุ่ม ก่อนจะเลื่อนลงไปถูไถที่บริเวณช่องทางสีชมพูสวยไปมา และสอดนิ้วเข้าไปช้า ๆ
“อื้อ!! อ๊ะ!! คิบอม...ฉันเจ็บ...” เสียงแหบหวานพูด ด้านหน้าแก่นกายก็ยังคงถูกรูดขึ้นลง ด้านหลังช่องทางก็ถูกนิ้วเรียวสอดเข้าออกอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เพิ่มจำนวนนิ้วมากขึ้นตามลำดับ บางทีนิ้วไปโดนจุดกระสัน ทงเฮก็ปล่อยเสียงครางหวานมายั่วอารมณ์ของคิบอมให้จนแทบจะเป็นบ้า
แก่นกายแกร่งแข็งขืนดุนดันขึ้นจนเห็นได้ชัด ทงเฮค่อย ๆ ปรือตาขึ้น มือทั้งสองยังคงทำหน้าที่เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตเห็นอาการของร่างสูงก็ชักจะเริ่มสงสาร เพราะตอนนี้เขาแกล้งคิบอมมาเป็นเวลานานพอสมควร ตอนนี้คิบอมคงจะทรมานสุด ๆ แล้วล่ะ
มือทั้งสองหยุดทำหน้าที่ นิ้วเรียวที่อยู่ในช่องทางด้านหลังถูกดึงออก เผยให้เห็นผนังด้านในที่กำลังเต้นตุบ รอสิ่งที่ใหญ๋กว่านิ้วมือมาเติมเต็ม แก่นกายตั้งชันขึ้นด้วยแรงอารมณ์ น้ำใส ๆ ไหลเยิ้มจากปลายยอด ใบหน้ามนซับสีระเรื่อ และประปรายไปด้วยหยาดเหงื่อ ยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น
ภาพตรงหน้าทำให้คิบอมต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก กลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ขบกรามแน่นเพราะอารมณ์ที่มันสูงเสียเหลือเกิน ร่างเล็กของทงเฮรวบรวมกำลังไปแกะเชือกที่มัดข้อมือทั้งสองของคิบอมออก และทันทีที่เชือกหลุด คิบอมก็จัดการอุ้มร่างของทงเฮวางลงบนโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว
มือหยาบจัดการปลดกางเกงของตัวเองออกอย่างชำนาญ จมูกโด่งได้รูปฝังตัวลงบนแก้มใส ประทับจูบลึกล้ำให้อย่างไม่หยุดหย่อน ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปอย่างไม่เบื่อ ความหอมหวานที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ มือหยาบลูบผ่านผิวเนียนตามสัดส่วนโค้งเว้าอย่างมันส์มือ ริมฝีปากอวบอิ่มผละออก เปิดโอกาสให้ร่างด้านล่างมีโอกาสได้หายใจ
“ฮึก....อา....อ๊ะ....” ปุ่มไตสีชมพูถูกฟันคมขบกัด ดึง ดูดดุนอย่างสนุกสนาน จนมันแข็งเป็นไตทั้งสองข้าง มือหยาบเลื่อนมาลูบผ่านขาอ่อนด้านในให้ร่างเล็กได้เสียวเล่น เขาอยากจะเล้าโลมร่างเล็กให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้เขาเก็บอารมณ์ของเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว!!
คิบอมจัดการจับทงเฮนอนตะแคง ดวงตากลมโตมองมาที่คิบอมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งทำให้คิบอมมีความอดทนต่ำลงทุกที ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่า เผยให้เห็นช่องทางสวยที่กำลังตอดรัดอย่างรุนแรง และตามด้วยแก่นกายของร่างสูงที่สอดเข้าไปในช่องทางทีเดียวจนมิดด้าม
“อ๊าาาา!!!!!”
ท่านี้ทำให้แก่นกายแทรกเข้ามาได้ลึกจนทงเฮแทบจุก ช่องทางตอดรัดแน่นจนคิบอมต้องครางต่ำในคออย่างเสียวซ่าน คิบอมโน้มตัวลงไปแลกจุมพิตกับทงเฮเพื่อเป็นการผ่อนคลาย พร้อม ๆ กับที่เขาค่อย ๆ ขยับสะโพกอย่างช้า สั้น ๆ แต่หนักหน่วง
“อื้ม...อื้อ...”
เสียงครางหวานเล็ดลอดออกมา เมื่อเห็นว่าช่องทางสวยนั้นรับแก่นกายของร่างสูงได้พร้อมแล้ว สะโพกแกร่งก็จัดการซอยถี่อย่างรวดเร็ว เสียงหวีดร้องหวานดังออกมาจากร่างเล็ก มันยิ่งเรียกอารมณ์ของคิบอมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ร่างเล็กไหวไปตามแรงกระแทกที่รุนแรงของร่างสูง แก่นกายสอดเข้าไปให้ลึกที่สุด เพื่อระบายอารมณ์ที่อัดอั้นมานาน
“อ๊า!! อ๊า ๆ...อ๊ะ....คิบอม...มัน...ใหญ่เกินไปแล้วนะ”
แก่นกายที่ทั้งใหญ่และยาวกระแทกกระทั้นเข้าหาร่างเล็กจนร่างเล็กรู้สึกจุก แต่คิบอมกลับภูมิใจเสียมากกว่า ยิ่งได้ยินแบบนั้นสะโพกแกร่งก็ยิ่งขยับเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น พอสอดเข้าไปหา ช่องทางสวยก็เปิดรับราวกับเชิญชวน พอถอนแก่นกายจนเกือบจะหลุด ช่องทางสวยก็ตอดรัดแน่นราวกับไม่อยากจะให้ออก มันทำให้คิบอมยิ่งต้องการร่างนี้มากยิ่งขึ้นจนไม่อาจจะห้ามใจไว้ได้
“อา....ข้างในตัวนายมันอุ่นมากเลยล่ะ ทงเฮ” สะโพกแกร่งเร่งจังหวะให้เร็วยิ่งขึ้นจนทงเฮปรับตัวตามแทบไม่ทัน ท่านี้มันทำให้แก่นกายของคิบอมสอดเข้ามาได้ลึกกว่าปกติ แก่นกายแกร่งเสียดสีกับผนังนุ่ม สร้างความเสียวซ่านให้ทงเฮเป็นอย่างมาก ยิ่งพอโดนจุดกระสัน เสียงหวีดร้องหวานก็ยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม
“อื้ม...อ๊า!...อ๊ะ ๆ....อา....บอม....”
“ทงเฮ...ชอบมั้ย?”
เสียงทุ้มต่ำถาม พร้อมกับกระแทกแก่นกายไปยังจุดเสียวของร่างบางแบบไม่ยั้ง ทั้งเร็ว รุนแรง และลึกที่สุด เสียงครางหวานหวีดร้องด้วยความเสียวซ่านระคนสุขสม แก่นกายแข็งขืน และเริ่มมีน้ำสีขาวขุ่นไหลออกมาเล็กน้อย
“อะ...ชอบ...ชอบมาก”
ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดถี่และแน่นมากยิ่งขึ้น เป็นสัญญาณให้คิบอมรู้ว่า ทงเฮใกล้จะถึงแล้ว คิบอมเลยจัดการกระแทกแก่นกายให้เร็วยิ่งกว่าเดิม ร่างเล็กไหวไปตามแรงกระแทกที่รุนแรงนั่น เสียงครางของทั้งสองดังก้องไปทั้งห้อง และอบอวลไปด้วยกลิ่นกรุ่นของคนทั้งสอง
“อ๊ะ...บอม...มันลึก....ลึกมาก...”
“อา....ของนายนี่มัน....แน่นชะมัดเลย”
“ไม่...ไม่ไหวแล้ว....คิบอม....”
ทงเฮพูดเสียงสั่น ความเสียวซ่านจากช่องทางด้านหลังมันมีมากจนเขาแทบจะรับไม่ไหว มันรู้สึกดีจนเขาแทบกระอัก แก่นกายเริ่มมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาเยอะกว่าเดิม คิบอมกระแทกแก่นกายไปอีกไม่กี่ครั้ง ทั้งสองคนก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่กักเก็บไว้ออกมาทั้งหมดพร้อมกัน
“อ๊ะ....อ๊า!!!!!”
“อื้มมม....”
ทงเฮปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องของตัวเอง และโต๊ะทำงาน ช่องทางสวยตอดรัดแก่นกายไว้แน่น จนคิบอมฉีดน้ำขาวขุ่นเข้าไปในตัวของทงเฮ จนร่างเล็กรู้สึกเสียวที่ท้องน้อย ทั้งสองต่างหอบหายใจกันทั้งคู่ เนื่องจากกิจกรรมที่แสนเร่าร้อนที่เพิ่งมาหมาด ๆ
“คะ...คิบอม....ชอบของขวัญของฉันมั้ย?”
“อื้ม....ชอบมาก”
คิบอมจัดการให้ทงเฮอยู่ในท่านอนหงาย โดยที่เขายังไม่ได้ถอนแก่นกายออก ริมฝีปากอวบอิ่มพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานด้วยความรักใคร่ ทงเฮยังคงเหนื่อยไม่หาย แต่จู่ ๆ ร่างเล็กก็พูดโพล่งขึ้นมาซะเฉย ๆ
“ฉันรักคิบอมนะ”
ร่างสูงหยุดการกระทำทุกอย่าง ผละริมฝีปากออก และเปลี่ยนมาเป็นจ้องมองใบหน้าหวาน ที่ตอนนี้กำลังซับสีระเรื่อ ดวงตากลมโตพยายามที่จะหลบหน้าจากคนด้านบน ริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นนิด ๆ อาการเขินน่ารัก ๆ แบบนี้ มันยิ่งทำให้คิบอมเกิดอาการห้ามใจไม่อยู่ซะแล้วสิ
“อ๊ะ! คิบอม จะทำอะไรน่ะ?”
“ทำรักไง ^ ^+”
“ห๊ะ! มะ...ไม่เอานะ! อ๊า......!”
และแล้ว...กิจกรรมทำรักก็ยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะความอดทนต่ำของคิบอม แต่ทั้งสองก็รู้สึกมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว โดยเฉพาะคิบอม ที่ได้รับของขวัญสุดพิเศษในวันเกิดแบบนี้...มันคงจะเป็นความทรงจำที่เขาลืมไม่ลงเลยทีเดียว
...เห็นมั้ยครับ
เครื่องเกม PS3...ซีดีเพลงรักอะไรพวกนั้นน่ะ
ผมไม่อยากได้หรอก...
ได้ ‘ของขวัญที่มีชีวิต’ มันดีกว่ากันเยอะ...
คุณว่ามั้ยครับ?...
THE END >///<
Title: Snow White’s Hope [HBD Kibum][NC-17]
Paring: Kibum x Donghae
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง >///< วันเกิดสุดที่รักของเบลล์ ~ กิ๊ซซซซซ ซ ซ (สติแตก) เดี๋ยวไว้อวยพรตอนจบดีกว่า ตอนนี้ตามไปอ่านฟิคกันเลยค่า ~ ^ ^
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ถ้าวันเกิดคุณสามารถขอสิ่งที่อยากได้ได้หนึ่งอย่าง...
คุณจะขออะไร?...
เครื่องเกม PS3 พร้อมเกมแผ่นแท้ ส่งตรงจากญี่ปุ่น?...
ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ เอาไว้กอดคลายเหงา?...
แผ่นเพลงเพราะ ๆ สื่อความหมายแทนความรู้สึกในใจ?...
เหอะ...ของแบบนั้น...ผมไม่อยากจะได้สักนิด...
สำหรับผมนะหรอ?
ตอนนี้...สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือ...
‘ของขวัญที่มีชีวิต’
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ร่างสูงที่ดูสง่าผ่าเผยเดินผ่านพนักงานบริษัทมากหน้าหลายตา ที่กำลังส่งสายตาจ้องมองมายังร่างของตนอย่างไม่คิดแม้แต่จะเหลือบมองให้เสียเวลา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า ถ้าหากหันกลับไปมอง ก็คงจะเจอแต่สายตายั่วยวน หรือสายตาที่เป็นประกายจากพนักงานหญิง เผลอ ๆ อาจจะมีมาจากพนักงานชายอีกซะด้วยซ้ำไป
“ท่านประธานหล่อชะมัดเลยอ่ะ~”
“เค้ามีแฟนรึยังน่ะ? ฉันจะมีโอกาสเป็นแฟนเค้าได้มั้ยนะ >///<”
ถึงแม้ว่าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพื่อรักษามาดของประธานบริษัทที่ดี
ประตูไม้หรูถูกเปิดออกด้วยฝีมือของร่างสูง ก่อนจะถูกปิดลงด้วยแรงที่ไม่เบานัก หลังแกร่งเอนพิงไปกับประตู มือหยาบกร้านยกขึ้นขยี้ผมของตัวเองด้วยความเซ็ง และเบื่ออย่างสุดชีวิต ริมฝีปากอวบอิ่มพูดบ่นพึมพำคล้ายกับกำลังท่องคาถาสาปแช่งใครอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้
“จะมองอะไรกันนักหนาว่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นคนกันบ้างรึไง!” คิบอมสบถออกมาอย่างสุดจะทน เปลือกตาหนาปิดลง ร่างสูงสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะค่อย ๆ เผยดวงตาเรียวสีนิลขึ้นอีกครั้ง ดูบรรยากาศภายนอกจากผนังที่ใช้เป็นกระจกทั้งหมดที่อยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา
เก้าอี้นุ่มตัวใหญ่สำหรับประธานบริษัทถูกร่างสูงของคิบอมใช้เป็นที่นั่ง คิบอมเอนตัวฟุบลงกับโต๊ะทำงานราคาแพงตัวใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง เพื่อจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าจากงานที่ผ่านมาในหลาย ๆ วันก่อนหน้านี้
‘ก๊อก ๆ’
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะการนอนหลับอันแสนสุขของท่านประธานบริษัทเป็นยิ่งนัก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ร่างสูงจัดการเซ็ททรงผมที่ยุ่งเล็กน้อยให้ดีขึ้น ก่อนจะบอกอนุญาตให้พนักงานเข้ามาได้
“เข้ามาได้”
‘แอ๊ด~’
“ท่านประธานคะ ช่วยเซ็นรับทราบงานนี้ให้ด้วยค่ะ” พนักงานหญิงหุ่นดี หน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดี พูดพร้อมกับยื่นแฟ้มงานให้คิบอมด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม คิบอมเห็นก็แค่นยิ้มตอบกลับไป นิ้วเรียวยาวจับปากกาขีดเขียนลายเซ็นบนกระดาษสีขาวสะอาดตาตรงมุมขวาล่าง ก็จัดการปิดแฟ้มงานและส่งกลับให้ผู้หญิงตรงหน้า
...โอ้โห...ไม่ค่อยให้ท่าเลยผู้หญิงสมัยนี้...
...อยากให้ฉันจำชื่อได้ล่ะสิ?...เลยพยายามมาหาบ่อยขนาดนี้...
...แต่ขอโทษที...ถึงฉันจะเป็นประธานบริษัทก็เถอะ...
...ฉันก็จำชื่อของเธอไม่ได้หรอกนะ!! ฉันขี้เกียจจำ!!...
แต่ความคิดในใจย่อมหลบซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มบาดใจสาวอยู่แล้ว หญิงสาวรับแฟ้มกลับมา ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกครั้ง และขาเรียวสวยก็เดินออกจากห้องของประธานบริษัทไป
“เฮ้อ...ออกไปซะที” คิบอมพูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอนตัวฟุบลงบนโต๊ะหรูอีกครั้ง เพื่อที่จะพักผ่อนให้เต็มอิ่มสักที
...หึ ๆ เล่นละครได้สมบทบาทจริง ๆ เรา...
...ใครจะไปรู้เล่า...ว่าตัวจริงของฉันมันแย่ขนาดไหน...
‘ก๊อก ๆ’
เส้นความอดทนของคิบอมเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างสูงกัดฟันแน่นเพื่อระงับอารมณ์หงุดหงิด เขาพอจะเดาได้ล่ะว่าใครจะเข้ามา เพราะทุก ๆ วันพนักงานแต่ละคนต่างพากันหาข้ออ้างเพื่อที่จะเข้ามาหาเขาในห้องตลอดวันเลยทีเดียว
...ทำไมมันไม่เอางานไปฝากไว้ที่เลขาฯของกูฟะ!!!!...
แต่ความอดทนของคิบอมที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิด สั่งเตือนให้รักษาภาพพจน์ที่ดีของท่านประธานบริษัทไว้ซะก่อน คิบอมเลยจัดเซ็ททรงผมอีกครั้ง พยายามใช้นิ้วเรียวดันมุมปากให้ยกยิ้มขึ้นอย่างฝืนเต็มที
“เข้ามาได้”
‘แอ๊ด~’
“ท่านประธานคะ มีบริษัทอื่นฝากเอกสารจะมาขอเป็นสปอนเซอร์ให้บริษัทเราค่ะ” นั่นไงล่ะ ตามที่คิบอมคาดเดาไว้เป๊ะ พนักงานหญิงหุ่นดีอีกคนหนึ่งเดินนวยนาดมาหาเขาเพื่อที่จะเอาเอกสารมาให้ ทั้ง ๆ ที่เธอควรจะเอาไปฝากไว้ที่เลขาของเขาเสียมากกว่า
“งั้นเหรอ ขอบใจมาก” และก็เป็นเหมือนอย่างเคย ที่คิบอมจะส่งยิ้มดุจเทพมาจุติไปให้พนักงานสาวใจละลาย แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมันแอบมีเขี้ยวโผล่ออกมาซะด้วย
“ค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง พลางก้มหัวลงให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ
‘ปัง’
“เฮ้ออออ อ อ...ออกไปซะที” ร่างสูงเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้แสนนุ่ม เปลือกตาหนากระพริบสองสามครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงปิดดวงตามีเสน่ห์ไว้จนมิด
‘ก๊อก ๆ’
ปึด !!!!!
เสียงเส้นความอดทนของคิบอมขาดสะบั้นลงไปพริบตา เขาไม่ใช่พ่อพระมาจากที่ไหน และเหตุการณ์ที่เขาไล่ตะเพิดพนักงานก็เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เขาจึงไม่ลังเลเลย ที่จะตัดสินใจทำมันเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา
“ว้อยยยยย!!! จะเข้ามาทำไมนักหนาวะ!!!!”
“ขะ...ขอโทษครับ”
เสียงขอโทษที่ดังเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบา เรียกสติจากคิบอมได้ดียิ่งนัก อารมณ์หงุดหงิดตะกี้ปลิวออกไป กลายเป็นเสียงที่เขาคิดว่าไพเราะมากที่สุดเข้ามาแทนที่
...เสียงนี้มัน...
...หรือว่า!!!!...
ร่างสูงแทบจะกระโดดข้ามโต๊ะแทนการวิ่งอ้อม เพื่อถลาไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว มือหยาบเปิดประตูที่แทบจะกลายเป็นการกระชากอย่างรวดเร็ว
ภาพตรงหน้าที่คิบอมเห็น มันทำให้รอยยิ้มที่หาได้ยากของร่างสูง เผยออกมาได้อย่างไม่ยากเลยสักนิด ใบหน้ามนเนียนใสที่ก้มต่ำในตอนแรก แหงนหน้าขึ้นช้อนตามองท่านประธานที่มีส่วนสูงมากกว่าตน ดวงตากลมโตที่ดูคล้ายกับกำลังสำนึกผิด มันทำให้ใจของคิบอมกระตุกอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ทงเฮเองหรอ ขอโทษนะ พอดีฉันนึกว่าจะเป็นพนักงานคนอื่นน่ะ”
“อ๋อ...ครับ ท่านประธานครับ คือว่าผม...”
“เข้ามาคุยกันข้างในดีกว่า คุยข้างนอกห้องมันไม่ค่อยสะดวกน่ะ” คิบอมเอ่ยขึ้น พลางส่งสายตาไปทางพนักงานที่มองมาหาทงเฮด้วยสายตาอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก และสายตาบางส่วนกลับไม่ได้มองเขา แต่มองมาที่เลขาฯของเขาเสียตาเป็นมัน
...คน ๆ นี้กูเล็งไว้นานแล้ว...
...พวกมึงกรุณาเก็บสายตาไว้ด้วย!!...
...กูหึงแรงนะโว้ย!!!...
ใบหน้ามนหันไปมองตามทางที่ใบหน้าคมหันไป ดวงตากลมโตหันไปมองก่อนจะหันกลับมา ทงเฮกระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้าหงึกหงัก และเดินตามคิบอมเข้าไปในห้องประธานบริษัท
ร่างสูงและร่างเล็กเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาวสีน้ำเงินเข้มภายในห้อง แขนเล็กที่ถือแฟ้มมาจำนวนหนึ่งวางของลงข้าง ๆ ตัวเอง
“ท่านประธานครับ นี่เป็นเอกสารเกี่ยวกับการประชุมในวันนี้นะครับ งานประชุมอันแรกนี้จะเกี่ยวกับ...”
เสียงทุ้มที่ออกจะหวานเสียมากกว่าพูดอธิบายรายละเอียดการประชุมให้กับคิบอมไปเรื่อย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของคนที่ได้ชื่อว่า “ประธานบริษัท” นั้นจ้องมอง “เลขาฯ” ของตัวเองด้วยสายตาแบบไหน นัยน์ตาคมจดจ้องไปที่ใบหน้าหวานน่ารักอย่างไม่ละสายตา ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งเหมือนกับต้องมนต์สะกด
...ทำไมทงเฮถึงได้น่ารักแบบนี้?...
...ทำไมพระเจ้าต้องส่งคนน่ารัก ๆ แบบนี้มาเป็นเลขาฯของผมด้วย?...
...วัน ๆ ผมคงจะได้ทำงานหรอกเนอะแบบนี้...
...แค่ได้เห็นหน้าเค้า...
...สายตาที่จ้องอยู่ที่งาน...ก็ดันเปลี่ยนไปเหลือบมองหน้าของทงเฮทุกทีสิน้า...
“เท่านี้ล่ะครับสำหรับการประชุมในวันนี้ ท่านประธานทำงานต่อเถอะครับ” ประโยคจบการสนทนาของทงเฮดังขึ้น เรียกให้สติของคิบอมกลับเข้าที่ ใบหน้าคมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตอบรับ ร่างเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะก้าวขาเรียวเพื่อออกไปทำงานของตนต่อ
“เดี๋ยวก่อน!”
มือหยาบยื่นออกไปจับข้อมือเล็กไว้ข้างหนึ่ง ใบหน้ามนหันไปมองผู้ที่ขอให้ตนหยุดอยู่ที่เดิมด้วยสายตาที่ใสซื่อ และสายตาแบบนั้นแหละ ที่ทำให้ท่านประธานคิมคิบอม ที่แสนจะเก่งและฉลาดต้องเกิดอาการอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกซะอย่างนั้น
“อ่ะ....เอ่อ....คือว่า....”
“ครับ??”
“เย็นนี้ นายว่างมั้ย?” เห็นเป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แบบนี้ แต่กว่าคิบอมจะกลั่นกรองมันให้เป็นประโยคที่ดูดีได้ขนาดนี้ และพูดออกมาได้เนี่ย มันต้องใช้ความพยายามอย่างสูงยิ่งกว่าการตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจใหม่เสียอีก ทงเฮที่ยืนฟังอยู่ยิ้มตอบกลับไปเมื่อได้ยินคำถามเชิญชวนนั่น
“ว่างครับ”
“จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”
...เยส!!!...
...ในที่สุดก็พูดได้แล้วว้อย!!!...
“เอางั้นหรอ?...ได้เลย คิบอม ^ ^”
อั่ก!!!!
ทงเฮตอบกลับไปโดยใช้ภาษาที่ดูสนิทกันมากกว่าปกติ ซึ่งเขาจะไม่ค่อยได้ใช้กับคิบอมสักเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน แต่เขาทั้งสองคนก็เรียกว่าสนิทกันเข้าขั้นเลยทีเดียว ต่างฝ่ายต่างรู้นิสัยใจคอ และสิ่งที่ต่างฝ่ายชอบและไม่ชอบเป็นอย่างดี
และเพราะความที่ว่าไอ้ประโยคที่ดูแล้วมันฟังดูเหมือนกับว่าสนิทชิดเชื้อกันเหลือเกินนี่แหละ ทำให้หัวใจของคิบอมกู่ร้องด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง แทบจะสิ้นลมลาตายกันเลยทีเดียว นอกจากประโยคนั้นจะทำให้คิบอมแทบกระอักเลือดตายแล้ว ยังแถมด้วยรอยยิ้มสดใสที่ทงเฮมักจะส่งให้เป็นประจำมาเป็นส่วนประกอบแล้ว มันยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใสเสียเหลือเกิน
...โอ๊ย!...
...นี่กะจะตัดขั้วหัวใจกันเลยหรอทงเฮ...
...จะทำอะไรก็สงสารฉันบ้างเถอะ...
...ฉันกลัวจะตายก่อนวัยอันควรเพราะคำพูดกับรอยยิ้มของนายนี่แหละ...
“อ๊ะ ฉันลืมบอกอะไรนายไปอีกอย่างนึงล่ะ” ประโยคประเภทเดิมหลุดออกมาอีกครั้ง ทำเอาคิบอมต้องค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อระงับอาการของก้อนเนื้อที่เต้นตึกตักจนแทบจะทะลุอกออกมาให้เบาลง และตั้งสติ ตั้งใจฟังสิ่งที่ทงเฮกำลังจะบอก
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ เย็นนี้เจอกัน เดี๋ยวฉันจะเอาของขวัญมาฝาก ^ ^”
.
.
.
ฉัวะ!!!!
...อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก...
...มันบาดใจ!...
...มันแทงใจ!...
...มันกรีดหัวใจ!...
...มันทำให้หัวใจฉันหยุดเต้น!!...
“งั้นฉันไปทำงานล่ะ ^ ^”
ทงเฮเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองได้ทำร้ายคิบอมไปมากขนาดไหน ร่างสูงนั่งนิ่งค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม ใบหน้าคมที่มักจะเฉยชากลับซับสีเลือดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ร่างสูงสะบัดหัวไปมาแรง ๆ สองสามครั้ง เพื่อไล่อาการแปลก ๆ ของตัวเอง ก่อนจะหยิบแฟ้มที่ทงเฮให้มาไปวางไว้บนโต๊ะ พลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวนุ่ม และอ่านรายละเอียดครั้งหนึ่ง...ก็ตอนที่ทงเฮพูดน่ะ...เขาแทบจะไม่ได้ฟังอะไรนอกจากจ้องหน้าของทงเฮเลยนี่นา...
+:+:+:+:+:+:+ Snow White’s Hope +:+:+:+:+:+:+
ช่วงเวลาการทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประตูห้องประธานบริษัทถูกเปิดออกโดยฝีมือของเจ้าของ คิบอมจัดการปิดประตูห้อง ก่อนจะถลาตัวมาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่และเบาะนุ่มเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยอ่อน ร่างสูงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง นิ้วเรียวเลื่อนมานวดคลึงที่บริเวณขมับทั้งสองข้างเพื่อคลายความตึงเครียด
“เหนื่อยชะมัด...” เสียงทุ้มต่ำบ่นอุบอิบ ใบหน้าคมหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ที่บ่งบอกเวลาเกือบเย็น ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มขึ้น เมื่อเห็นเวลาที่เขานัดกับทงเฮใกล้มาถึง
...แต่ว่า...ของีบรอก่อนละกัน...
เปลือกตาหนาเคลื่อนตัวลงปิดนัยน์ตาช้า ๆ คิบอมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเพื่อที่จะเข้าสู่การพักผ่อนจากงานต่าง ๆ ที่ผ่านมามากมายภายในวันนี้...และไม่นาน ร่างสูงก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสบายใจ
......
....
...
..
.
.
“บอม...คิบอม...คิบอม”
“งึม...หืม?...”
เสียงคนเรียกชื่อของร่างสูงดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเจ้าของชื่อนัก ทำให้คิบอมที่กำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทราต้องตื่นขึ้น เปลือกตาหนากระพริบถี่เพื่อปรับสายตา และทันทีที่สายตาปรับจนเข้าที่แล้ว ตาตี่ ๆ ของเขาก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ
...โอ้มายก็อด!!!!!!...
...สาบานต่อหน้าพระเจ้าเถอะ...ว่าภาพที่ผมเห็นมันเป็นของจริง!!!...
เจ้าของเสียงที่เรียกปลุกคิบอมนั่นก็คือทงเฮนั่นเอง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเป็นอยู่ในทุก ๆ ครั้งที่คิบอมเหนื่อยจนเผลอหลับไป แต่....ในครั้งนี้มันไม่ใช่
ทงเฮกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงานตัวหรู และส่งสายตามองคิบอม หรือง่าย ๆ ก็คือนั่งไขว่ห้างประจันหน้ากับคิบอมที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่นั่นล่ะ แต่ชุดที่เจ้าตัวใส่อยู่ตอนนี้คือชุดเสื้อแขนกุดรัดรูป ยาวเพียงแค่พอปิดหน้าอก เผยหน้าท้องเรียบเนียน กับกางเกงรัดรูปยาวเพียงคืบกว่า ที่มีหางแมวติดอยู่ด้านหลัง เผยเรียวขาขาวน่าสัมผัส และทงเฮยังเสริมด้วยการใส่หูแมวเพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งเสื้อผ้าทั้งหมดเป็นสีขาว ทำให้แทบจะเผยสัดส่วนทั้งหมดให้คิบอมได้เห็นโดยที่ไม่ต้องถอดอะไรเลยด้วยซ้ำ
...อ่ะ...โอ้ว...
...เลือดกำเดาจะทะลัก...
...เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนที่ยั่วได้น่ากลัวมากขนาดนี้!...
...ทำไมทงเฮเซ็กซี่ได้ขนาดนี้เนี่ย!!...
ภาพตรงหน้านั้นทำให้คิบอมแทบจะพุ่งตัวเข้าไปตะครุบเหยื่ออย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคิบอมจะลุกขึ้นก็ต้องชะงัก ข้อมือของเขาถูกมัดไว้กับที่วางแขนของเก้าอี้ตัวใหญ่ทั้งสองข้าง นั่นทำให้เขาอ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
...โดนเล่นทีเผลอแล้วมั้ยล่ะ คิมคิบอม!...
ทงเฮที่กำลังนั่งไขว่ห้างก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งหย่อนขาลงมาปกติ ขาเรียวสองข้างแกว่งไปมาอย่างไม่คิดอะไร ใบหน้ามนซับสีเลือดก้มงุดเพื่อปกปิดความอาย ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำถาม
“นายอยากได้แมวเป็นของขวัญมั้ย?...”
...อื้อหือ...
...ถามงี้...นายต้องการจะสื่ออะไรฉันเนี่ย ทงเฮ?...
...ถ้าเป็นแมวแบบนายละก็...
...มันก็ต้องอยากอยู่แล้ว!!...
“อยากสิ” คิบอมตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งทำให้ทงเฮเขินมากยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงรู้อยู่แล้ว ว่าอย่างทงเฮน่ะ แค่ใส่ชุดแบบนี้มาเป็นของขวัญให้เขานี้ก็ต้องใช้ความกล้าสุด ๆ เลยล่ะ ก็ทงเฮน่ะใสซื่อซะจนเหมือนเด็กเลยนี่นา
แต่แล้วความคิดที่ทงเฮใสซื่อก็ต้องดับวูบลงไปในทันที เมื่อจู่ ๆ ทงเฮก็หรี่ตามองคิบอมด้วยสายตาหวานเชื่อม ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ อย่างเย้ายวน ลิ้นเล็กแลบเลียกับปลายนิ้วเรียวของตัวเอง ก่อนจะลากปลายนิ้วจากมุมปากมายังปลายคางมนอย่างช้า ๆ
...อึ้งครับท่าน...
ร่างเล็กเลื่อนตัวลงมาจากโต๊ะ ขาเรียวก้าวช้า ๆ ไปหาร่างสูง ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นนั่งคร่อมตักคิบอม วงแขนเล็กยกขึ้นโอบรอบคอของร่างสูง ดวงตากลมโตสบตากับดวงตาคมอย่างยั่วยวน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างเล็ก ทำให้สติของคิบอมเตลิดยิ่งกว่าเดิม
“ทะ...ทงเฮ...” ร่างสูงอึ้งจนพูดไม่ออก ใครจะไปคาดคิดล่ะ ว่าวันนึงจะได้มาเจอกับทงเฮในมาดแมวยั่วสวาทแบบนี้ มือเล็กข้างหนึ่งเลื่อนมาลูบตั้งแต่ลำคอ เลื่อนลงไปช้า ๆ จนกระทั่งถึงหน้าท้องแกร่ง มือเล็กเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง ปัดมือไปมาให้โดนเข็มขัดบ้าง แก่นกายของร่างสูงบ้าง หน้าท้องแกร่งบ้าง ผิวเนื้อที่เสียดสีกับผิวเนื้อผ้า ทำให้คิบอมครางต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ
กระดุมเสื้อของร่างสูงถูกปลดออกจนหมดด้วยมือเล็ก ตามด้วยเข็มขัดที่ถูกถอดตามออกไปอย่างรวดเร็ว ผิวสีแทนและกลิ่นโคโลญที่คิบอมใช้ประจำ กลิ่นที่แสนคุ้นเคยทำให้ทงเฮเผลอซุกหน้าลงกับหน้าอกแกร่ง เพื่อสูดกลิ่นหอมประจำตัว และไม่ลืมที่จะแอบหยอกล้อกับปุ่มสีชมพูด้วยการกัดเบา ๆ อีกด้วย
“อืม...”
“คิบอม...ทำไมหุ่นดีจัง ฉันไม่เห็นมีกล้ามท้องแบบนี้เลยอ่ะ” ทงเฮทำปากยื่น พลางใช้มือลูบกล้ามท้องของคิบอมไปมา ทำเอาคิบอมสยิวได้เหมือนกันนะนั่น
“หึ ๆ ดีแล้วล่ะ ทงเฮเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว” เนื่องจากอารมณ์ที่คุกรุ่น แต่มือกลับถูกมัดไว้ ไม่สามารถเลื่อนมาสัมผัสร่างกายที่เขาต้องการจะครอบครองได้ ใบหน้าคมจึงซุกลงที่ซอกคอหอมกรุ่นของร่างเล็ก สูดกลิ่นหอมจนพอใจ ก่อนจะสร้างรอยความเป็นเจ้าของทิ้งไว้สองสามรอย
“อ๊ะ! คิบอม อย่าทำสิ” ทงเฮทำหน้าดุใส่ร่างสูง แต่คิบอมกลับคิดว่าใบหน้านั้นดูแล้วน่ารักเป็นที่สุด เลยส่งยิ้มตอบกลับไปให้ ทงเฮเห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปอยู่ประชิดกับใบหน้าของคิบอม และประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของร่างสูง
ลิ้นเล็กเลียที่ริมฝีปากล่างของคิบอมไปมา ริมฝีปากเล็กเผยอขึ้นเล็กน้อย และนั่นก็เป็นโอกาสที่คิบอมฉวยให้เป็นกำไรของตนอย่างรวดเร็ว ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากนุ่ม ทงเฮที่ไม่ทันตั้งตัวตาเบิกกว้าง ลิ้นร้อนกำลังรุกรานเข้ามา มันพยายามที่จะหาลิ้นเล็กที่กำลังหลบหนีอยู่ภายใน แต่เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปสำรวจรอบ ๆ แทน วงแขนเล็กโอบกอดคอร่างสูงไว้ มือเล็กสอดเข้าไปในเรือนผมสีดำสนิทของร่างสูงและกำไว้เพื่อคลายความเสียวซ่าน
“อื้ม...อืม...” ลิ้นเล็กที่เริ่มจะตอบกลับ แต่เนื่องจากความไม่เคย ทำให้การตอบกลับนั้นค่อนข้างจะเงอะงะ และดูใสซื่อจนอารมณ์ของคิบอมยิ่งปะทุมากกว่าเดิม ร่างสูงกดจูบให้ลึกยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันกับลิ้นเล็กอย่างเชี่ยวชาญ สอดลิ้นเข้าไปลึกจนทงเฮต้องครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คิบอมยังคงรุกรานอย่างไม่คิดที่จะหยุด ถ้าไม่ถูกมือเล็กข้างหนึ่งที่เลื่อนมาบีบไหล่เขาไว้แน่น จูบนี้คงจะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
“ฮะ...อา....แฮ่ก...” ร่างเล็กหอบเนื่องจากขาดอากาศหายใจ ใบหน้าขาวใสซับสีระเรื่อ ยิ่งทำให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่คิบอมกำลังจะหากำไรต่อนั้น ร่างเล็กก็ลุกออกจากตัก เปลี่ยนไปเป็นนั่งบนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง
“หึ ๆ ไม่มานั่งที่เดิมล่ะทงเฮ? กำลังสนุกเลย” คิบอมหัวเราะ เพราะเขาเห็นว่าทงเฮคงจะยั่วเขาไม่ไหวหรอก ดูสิ แค่จูบก็จะหมดแรงแล้วนะนั่น
“ดูก่อนสิ...แล้วนายจะหัวเราะไม่ออก” ทงเฮยกยิ้มเจ้าเล่ห์
เสื้อผ้าที่แสนจะน้อยชิ้นถูกถอดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่อายต่อสายตาอีกคน ทำเอาคิบอมนั่งค้างไปกับภาพตรงหน้า ร่างเปลือยเปล่าของคนตรงหน้ามันทำให้อารมณ์ของเขาปะทุสูง แก่นกายเริ่มที่จะแข็งขืนขึ้นมาทีละนิด
ร่างเล็กชันขาตั้งขึ้น และแยกขาออกเผยให้เห็นแก่นกายของตัวเองอย่างไม่เขินอาย มือเล็กจัดการกำแก่นกายของตัวเองไว้ พลางรูดขึ้นลงช้า ๆ เพื่อปลุกอารมณ์ของตัวเอง
“อื้ม....” ร่างเล็กหลับตาพริ้ม ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากเบา ๆ แก่นกายที่ถูกรูดขึ้นลง ที่เปิดปิดเผยให้เห็นเนื้อใน ทำให้คิบอมต้องขบกรามจนแน่น ภาพตรงหน้ามันกระตุ้นอารมณ์ของเขามากจริง ๆ แก่นกายแกร่งชักจะแข็งขืนมากขึ้นทุกที ยิ่งมันเสียดสีกับเนื้อผ้าก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของคิบอมปะทุสูงยิ่งขึ้น
...เล่นมาช่วยตัวเองกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้...
...ใครทนไหวก็ไม่ใช่คนแล้วครับ!...
“อ๊า...คิบอม อย่าทำผมสิ” คำพูดที่ไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นจริงเลยสักนิด แต่มันก็ทำให้คิบอมยิ่งเตลิดเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ทงเฮกำลังจินตนาการว่าเขาเป็นคนทำเหรอเนี่ย เสียงครางหวานหูเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ แก่นกายเล็กที่เริ่มแข็งขืนขึ้น และเริ่มมีน้ำใส ๆ บริเวณปลายยอด มันชวนให้คิบอมอยากจะลิ้มลองมันเสียเหลือเกิน
มือหยาบกำจนแน่นทั้งสองข้าง พยายามที่จะแก้เชือกที่มัดอยู่นี้ออกไปให้พ้น ๆ เพื่อที่จะไปทำให้คำพูดของทงเฮเป็นจริงไปซะเลย แต่ก็ทำไม่ได้ ร่างสูงต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้
แต่เหมือนกับทงเฮจะพยายามกลั่นแกล้งเขาเสียเหลือเกิน เมื่อนิ้วเรียวของมืออีกข้างหนึ่งถูกส่งเข้าไปในโพรงปากนุ่ม นิ้วเรียวถูกดูดเลียจนเปียกชุ่ม ก่อนจะเลื่อนลงไปถูไถที่บริเวณช่องทางสีชมพูสวยไปมา และสอดนิ้วเข้าไปช้า ๆ
“อื้อ!! อ๊ะ!! คิบอม...ฉันเจ็บ...” เสียงแหบหวานพูด ด้านหน้าแก่นกายก็ยังคงถูกรูดขึ้นลง ด้านหลังช่องทางก็ถูกนิ้วเรียวสอดเข้าออกอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เพิ่มจำนวนนิ้วมากขึ้นตามลำดับ บางทีนิ้วไปโดนจุดกระสัน ทงเฮก็ปล่อยเสียงครางหวานมายั่วอารมณ์ของคิบอมให้จนแทบจะเป็นบ้า
แก่นกายแกร่งแข็งขืนดุนดันขึ้นจนเห็นได้ชัด ทงเฮค่อย ๆ ปรือตาขึ้น มือทั้งสองยังคงทำหน้าที่เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตเห็นอาการของร่างสูงก็ชักจะเริ่มสงสาร เพราะตอนนี้เขาแกล้งคิบอมมาเป็นเวลานานพอสมควร ตอนนี้คิบอมคงจะทรมานสุด ๆ แล้วล่ะ
มือทั้งสองหยุดทำหน้าที่ นิ้วเรียวที่อยู่ในช่องทางด้านหลังถูกดึงออก เผยให้เห็นผนังด้านในที่กำลังเต้นตุบ รอสิ่งที่ใหญ๋กว่านิ้วมือมาเติมเต็ม แก่นกายตั้งชันขึ้นด้วยแรงอารมณ์ น้ำใส ๆ ไหลเยิ้มจากปลายยอด ใบหน้ามนซับสีระเรื่อ และประปรายไปด้วยหยาดเหงื่อ ยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น
ภาพตรงหน้าทำให้คิบอมต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก กลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ขบกรามแน่นเพราะอารมณ์ที่มันสูงเสียเหลือเกิน ร่างเล็กของทงเฮรวบรวมกำลังไปแกะเชือกที่มัดข้อมือทั้งสองของคิบอมออก และทันทีที่เชือกหลุด คิบอมก็จัดการอุ้มร่างของทงเฮวางลงบนโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว
มือหยาบจัดการปลดกางเกงของตัวเองออกอย่างชำนาญ จมูกโด่งได้รูปฝังตัวลงบนแก้มใส ประทับจูบลึกล้ำให้อย่างไม่หยุดหย่อน ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปอย่างไม่เบื่อ ความหอมหวานที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ มือหยาบลูบผ่านผิวเนียนตามสัดส่วนโค้งเว้าอย่างมันส์มือ ริมฝีปากอวบอิ่มผละออก เปิดโอกาสให้ร่างด้านล่างมีโอกาสได้หายใจ
“ฮึก....อา....อ๊ะ....” ปุ่มไตสีชมพูถูกฟันคมขบกัด ดึง ดูดดุนอย่างสนุกสนาน จนมันแข็งเป็นไตทั้งสองข้าง มือหยาบเลื่อนมาลูบผ่านขาอ่อนด้านในให้ร่างเล็กได้เสียวเล่น เขาอยากจะเล้าโลมร่างเล็กให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้เขาเก็บอารมณ์ของเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว!!
คิบอมจัดการจับทงเฮนอนตะแคง ดวงตากลมโตมองมาที่คิบอมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งทำให้คิบอมมีความอดทนต่ำลงทุกที ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่า เผยให้เห็นช่องทางสวยที่กำลังตอดรัดอย่างรุนแรง และตามด้วยแก่นกายของร่างสูงที่สอดเข้าไปในช่องทางทีเดียวจนมิดด้าม
“อ๊าาาา!!!!!”
ท่านี้ทำให้แก่นกายแทรกเข้ามาได้ลึกจนทงเฮแทบจุก ช่องทางตอดรัดแน่นจนคิบอมต้องครางต่ำในคออย่างเสียวซ่าน คิบอมโน้มตัวลงไปแลกจุมพิตกับทงเฮเพื่อเป็นการผ่อนคลาย พร้อม ๆ กับที่เขาค่อย ๆ ขยับสะโพกอย่างช้า สั้น ๆ แต่หนักหน่วง
“อื้ม...อื้อ...”
เสียงครางหวานเล็ดลอดออกมา เมื่อเห็นว่าช่องทางสวยนั้นรับแก่นกายของร่างสูงได้พร้อมแล้ว สะโพกแกร่งก็จัดการซอยถี่อย่างรวดเร็ว เสียงหวีดร้องหวานดังออกมาจากร่างเล็ก มันยิ่งเรียกอารมณ์ของคิบอมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ร่างเล็กไหวไปตามแรงกระแทกที่รุนแรงของร่างสูง แก่นกายสอดเข้าไปให้ลึกที่สุด เพื่อระบายอารมณ์ที่อัดอั้นมานาน
“อ๊า!! อ๊า ๆ...อ๊ะ....คิบอม...มัน...ใหญ่เกินไปแล้วนะ”
แก่นกายที่ทั้งใหญ่และยาวกระแทกกระทั้นเข้าหาร่างเล็กจนร่างเล็กรู้สึกจุก แต่คิบอมกลับภูมิใจเสียมากกว่า ยิ่งได้ยินแบบนั้นสะโพกแกร่งก็ยิ่งขยับเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น พอสอดเข้าไปหา ช่องทางสวยก็เปิดรับราวกับเชิญชวน พอถอนแก่นกายจนเกือบจะหลุด ช่องทางสวยก็ตอดรัดแน่นราวกับไม่อยากจะให้ออก มันทำให้คิบอมยิ่งต้องการร่างนี้มากยิ่งขึ้นจนไม่อาจจะห้ามใจไว้ได้
“อา....ข้างในตัวนายมันอุ่นมากเลยล่ะ ทงเฮ” สะโพกแกร่งเร่งจังหวะให้เร็วยิ่งขึ้นจนทงเฮปรับตัวตามแทบไม่ทัน ท่านี้มันทำให้แก่นกายของคิบอมสอดเข้ามาได้ลึกกว่าปกติ แก่นกายแกร่งเสียดสีกับผนังนุ่ม สร้างความเสียวซ่านให้ทงเฮเป็นอย่างมาก ยิ่งพอโดนจุดกระสัน เสียงหวีดร้องหวานก็ยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม
“อื้ม...อ๊า!...อ๊ะ ๆ....อา....บอม....”
“ทงเฮ...ชอบมั้ย?”
เสียงทุ้มต่ำถาม พร้อมกับกระแทกแก่นกายไปยังจุดเสียวของร่างบางแบบไม่ยั้ง ทั้งเร็ว รุนแรง และลึกที่สุด เสียงครางหวานหวีดร้องด้วยความเสียวซ่านระคนสุขสม แก่นกายแข็งขืน และเริ่มมีน้ำสีขาวขุ่นไหลออกมาเล็กน้อย
“อะ...ชอบ...ชอบมาก”
ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดถี่และแน่นมากยิ่งขึ้น เป็นสัญญาณให้คิบอมรู้ว่า ทงเฮใกล้จะถึงแล้ว คิบอมเลยจัดการกระแทกแก่นกายให้เร็วยิ่งกว่าเดิม ร่างเล็กไหวไปตามแรงกระแทกที่รุนแรงนั่น เสียงครางของทั้งสองดังก้องไปทั้งห้อง และอบอวลไปด้วยกลิ่นกรุ่นของคนทั้งสอง
“อ๊ะ...บอม...มันลึก....ลึกมาก...”
“อา....ของนายนี่มัน....แน่นชะมัดเลย”
“ไม่...ไม่ไหวแล้ว....คิบอม....”
ทงเฮพูดเสียงสั่น ความเสียวซ่านจากช่องทางด้านหลังมันมีมากจนเขาแทบจะรับไม่ไหว มันรู้สึกดีจนเขาแทบกระอัก แก่นกายเริ่มมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาเยอะกว่าเดิม คิบอมกระแทกแก่นกายไปอีกไม่กี่ครั้ง ทั้งสองคนก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่กักเก็บไว้ออกมาทั้งหมดพร้อมกัน
“อ๊ะ....อ๊า!!!!!”
“อื้มมม....”
ทงเฮปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องของตัวเอง และโต๊ะทำงาน ช่องทางสวยตอดรัดแก่นกายไว้แน่น จนคิบอมฉีดน้ำขาวขุ่นเข้าไปในตัวของทงเฮ จนร่างเล็กรู้สึกเสียวที่ท้องน้อย ทั้งสองต่างหอบหายใจกันทั้งคู่ เนื่องจากกิจกรรมที่แสนเร่าร้อนที่เพิ่งมาหมาด ๆ
“คะ...คิบอม....ชอบของขวัญของฉันมั้ย?”
“อื้ม....ชอบมาก”
คิบอมจัดการให้ทงเฮอยู่ในท่านอนหงาย โดยที่เขายังไม่ได้ถอนแก่นกายออก ริมฝีปากอวบอิ่มพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานด้วยความรักใคร่ ทงเฮยังคงเหนื่อยไม่หาย แต่จู่ ๆ ร่างเล็กก็พูดโพล่งขึ้นมาซะเฉย ๆ
“ฉันรักคิบอมนะ”
ร่างสูงหยุดการกระทำทุกอย่าง ผละริมฝีปากออก และเปลี่ยนมาเป็นจ้องมองใบหน้าหวาน ที่ตอนนี้กำลังซับสีระเรื่อ ดวงตากลมโตพยายามที่จะหลบหน้าจากคนด้านบน ริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นนิด ๆ อาการเขินน่ารัก ๆ แบบนี้ มันยิ่งทำให้คิบอมเกิดอาการห้ามใจไม่อยู่ซะแล้วสิ
“อ๊ะ! คิบอม จะทำอะไรน่ะ?”
“ทำรักไง ^ ^+”
“ห๊ะ! มะ...ไม่เอานะ! อ๊า......!”
และแล้ว...กิจกรรมทำรักก็ยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะความอดทนต่ำของคิบอม แต่ทั้งสองก็รู้สึกมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว โดยเฉพาะคิบอม ที่ได้รับของขวัญสุดพิเศษในวันเกิดแบบนี้...มันคงจะเป็นความทรงจำที่เขาลืมไม่ลงเลยทีเดียว
...เห็นมั้ยครับ
เครื่องเกม PS3...ซีดีเพลงรักอะไรพวกนั้นน่ะ
ผมไม่อยากได้หรอก...
ได้ ‘ของขวัญที่มีชีวิต’ มันดีกว่ากันเยอะ...
คุณว่ามั้ยครับ?...
THE END >///<
Love is All Around [YunJae]
บทความนี้อาจจะมีฉาก อีโรติก บ้างนะฮะ โปรดใช้จินตนาการในการรับชม ถ้าไม่ชอบก็ปิดหน้านี้ซะ ก๊อปได้นะแต่ให้เครดิตด้วย
Title: Love is All Around
Paring: Yunho x Jaejoong
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: ฟิคนี้ตอนแรกแต่งเป็นคู่คังทึก แต่ว่าอยากให้แคสได้อ่านฟิคเรื่องนี้ด้วย ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ชั่นยุนแจให้ได้อ่านกัน ^ ^ เป็นฟิคที่แต่งไว้นานมาก~แล้ว สำหรับฟิคเรื่องนี้เบลล์ขอนำเสนอสุดใจขาดดิ้น เพราะเป็นเรื่องที่แต่งแล้วดูจะมีสาระดีที่สุด =_=” แก้ไขภาษาให้ดีขึ้นจากแบบคู่คังทึกนิดนึง และมันก็เป็นความบังเอิญที่ลงตัว ว่าตัวละครมี 5 คนพอดี ไม่ขาดไม่เกิน เอิ๊ก ๆ เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ขอให้สนุกกับฟิคเรื่องนี้นะคะ~
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
ช่วงเวลาในยามค่ำคืน ที่ผู้คนต่างพากันหลับใหลเพราะเหนื่อยล้ากับการเผชิญกิจกรรมต่าง ๆ ในยามเช้ามามากมาย แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กห้องหนึ่ง กลับมีชายหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งกำลังลงมือเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ลงบนกระดาษด้วยลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในห้องนั้นเงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงของนาฬิกาเท่านั้นที่ทำให้ห้องนั้นไม่เงียบจนเกินไป
มือเรียวที่ขยับไหวไปมาเพราะการเขียนหนังสือ เขียนสักพัก มือนั้นก็หยุดนิ่ง ก่อนจะเลื่อนปากกามาทาบไว้ที่แก้มอย่างใช้ความคิด มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนแว่นสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะลงมือเขียนอีกครั้ง ไม่นานนัก มือเรียวก็วางปากกาแท่งนั้นลงบนกองกระดาษหนาปึกนั่น แว่นสายตาถูกถอดออก และถูกนำไปวางไว้บนกองกระดาษนั่นเช่นกัน แผ่นหลังบางเอนไปกับพนักพิงของเก้าอี้เพื่อคลายความอ่อนล้า
“เฮ้อ~...ในที่สุดก็เขียนจบซะที...”
แจจุงยืนขึ้นเต็มความสูง พลางเหยียดแขนและบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปไม่กี่ก้าว แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้นอย่างอ่อนล้า ดวงตากลมโตเหลือบไปมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาในตอนนี้
“ตี 2 ?....นี่เรานั่งเขียนจนถึงป่านนี้เชียว”
แจจุงถอนหายใจยาว มือเรียวเกาหัวตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ร่างบางพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหนื่อยก็เหนื่อย อยากจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยเต็มที...แต่ทำไมกลับนอนไม่หลับซะทีนะ?
...เหมือนกับว่าเขากำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่...
ความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนชื่อดังในตอนวัยรุ่น ตอนนี้เขาได้ทำให้มันเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเขาจะเขียนนิยายเรื่องใดออกขาย ยอดขายมักจะดีเกินคาดเสมอ เรียกได้ว่าวางขายปุ๊บก็หมดภายในวันเดียวเลยก็ว่าได้ แต่...พอเขาเริ่มดังในฐานะนักเขียนแล้ว เขาก็ต้องขังตัวเองอยู่ในห้องแทบจะทุกวัน บังคับให้ตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ ออกมาขายเรื่อย ๆ ช่วงเวลาเกือบทั้งวันเขาแทบจะไม่ได้พบหน้าคนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว
ร่างบางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมาอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาบดบังภาพตรงหน้าเสียจนมืดมิด ต้องทนเหนื่อยมาเป็นเวลานาน....แต่พอได้พัก กลับหลับไม่ลงซะอย่างนี้ ทำให้แจจุงต้องพยายามข่มตาเพื่อที่จะพักผ่อนให้ได้
...ฉันจะย้อนเวลากลับไปได้มั้ยนะ...
...เวลา....ที่ฉันยังมีอิสระ....
...เวลา....ที่ฉันยังได้รับสิ่งที่เรียกว่า “รัก”....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ร่างบางที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางที่เขามักจะไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ เพราะมักจะนอนหลับอยู่เสมอ แต่คืนนี้เขากลับนอนไม่หลับ แจจุงเลื่อนตัวลงจากเตียง ก่อนจะก้าวขาไปยังห้องอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย
ไม่นานนัก แจจุงก็อยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ เสื้อยืดสีชมพูอ่อน กับกางเกงยีนส์สีเข้มที่เขามักจะใส่อยู่ประจำ ขาเรียวเดินลงมาจากชั้นสอง ระหว่างทางเดินก็ผ่านโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีพ่อ แม่ และชางมินน้องชายของเขากำลังร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันอยู่
“อรุณสวัสดิ์ฮะ ผมขอออกไปเดินเล่นสักหน่อยนะ”
แจจุงพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่คนสามคนที่กำลังจะรับประทานอาหารกลับหันขวับมาจ้องเจ้าของเสียงกันอย่างรวดเร็ว แจจุงหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ประจำมาใส่ ก่อนจะเปิดประตูบ้านเดินออกไป
‘ปัง’
ถึงแม้ว่าประตูจะปิดไปแล้ว แต่สมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็ยังคงจ้องที่อยู่ประตูบ้านกันตาค้าง พอเริ่มได้สติ ก็หันมามองหน้ากันอยู่สามคนด้วยความงุนงง ก่อนที่ลูกชายคนสุดท้องจะโผล่งคำพูดออกมาเสียดังลั่น
“พี่แจจุงตื่นตอนเช้า....แถมยังออกมาจากห้องให้เห็นหน้าอีก...เหลือเชื่อ!?”
ชางมินพูดอย่างตกใจและทึ่งสุด ๆ ผู้เป็นพ่อแม่พยักหน้าเห็นด้วยกันสุด ๆ ก่อนจะร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันตามปกติ และมีหัวข้อสนทนาประจำวันนี้ก็คือ ‘แจจุง’ นั่นเอง...
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
บรรยากาศช่วงเช้าตรู่แบบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็พากันมาเดินเล่น สูดอากาศที่แสนสดชื่นยามเช้ากันซะส่วนใหญ่ บางส่วนก็มาออกกำลังกายยามเช้า ภาพบรรยากาศที่แสบอบอุ่นที่เขาไม่ได้เห็นซะนานนี้ มันช่างชวนให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีตเสียจริง
ขาเรียวพาร่างของตัวเองเดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างช้า ๆ มือสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋า ค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เขามีเวลาออกมาเดินเล่นแบบนี้ก็เรียกว่ามหัศจรรย์ได้แล้วล่ะ ขาเรียวหยุดกึก ใบหน้าหวานเงยขึ้น ดวงตากลมโตจดจ้องท้องฟ้าเบื้องบนที่เป็นสีฟ้าคราม สีอ่อน ๆ ที่ดูสบายตา ทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
...ไม่ได้ยิ้มแบบนี้....นานขนาดไหนแล้วนะ...
แต่แล้วบรรยากาศที่แสนจะชื่นมื่นสดใสสำหรับเขาก็ต้องดับลง เมื่อจู่ ๆ หัวของแจจุงก็ถูกมือของใครสักคนผลักซะเต็มแรง จนหัวของเขาแทบคว่ำ มือบางถูกเลื่อนมากุมหัวบริเวณที่โดนผลักซะเต็มที่ ก่อนจะหันขวับไปจ้องหน้าคนที่มาทำแบบนี้กับเขา
“ไอ้......!!!!!!!!!!” เสียงหวานพูดออกมาเสียงดัง แต่ก็ต้องเงียบและอึ้งทันที เมื่อเห็นคนตรงหน้า
“แจจุง!!!!! นี่นายจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย!?” คนตรงหน้าพูดอย่างตกใจ
“จุนซู! นายจริง ๆ ด้วย!” แจจุงพูดอย่างดีใจ ก่อนจะถลาเข้าไปกอดเพื่อนรักของเขาซะแน่น จุนซูก็เช่นกัน กอดตอบเพื่อนรักซะแน่นด้วยความคิดถึง ทั้งสองกอดกันไปมา ยิ้มกันอย่างร่าเริงสุด ๆ โดยไม่ได้สนใจคนที่มาด้วยกันกับจุนซูเลยสักนิด...
“แจจุง! ฉันล่ะตกใจจริง ๆ ที่เห็นนาย สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกแหง ๆ”
“......”
“อ้าว ปากเหรอนั่น อะไรว่ะ ก็แค่ออกมาเดินเล่นบ้างแค่เนี่ย”
“......”
“ก็ตั้งแต่นายเป็นนักเขียน ฉันแทบจะไม่เห็นหัวนายเลยนี่ ดูดิ โทรศัพท์ก็มี ไม่หัดโทรมาหาฉันบ้างเล้ย~”
“......”
“โอ๋ ๆ ขอโทษ~ ก็ฉันต้องรีบเขียนต้นฉบับส่งนี่นา~”
“......”
“เออ แล้วเนี่ย นายรู้รึยังว่า.....”
“เอ่อ........ขอโทษนะครับ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้บทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองต้องชะงัก แจจุงหันไปจ้องมองใบหน้าเจ้าของเสียงนั่น เรียกได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ใบหน้าคม ดวงตากลมโตที่ดูมีเสน่ห์ กลุ่มผมสีดำขลับที่ดูตัดกับสีผิว จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มที่แฝงความขี้เล่นมาให้แจจุง แจจุงจึงยิ้มตอบกลับไป
“อ๊ะ ลืมแนะนำไป แจจุง นี่ยูชอน แต่ไม่ต้องไปญาติดีกับมันนักหรอกนะ”
จุนซูแนะนำคนข้าง ๆ อย่างขอไปที และทำหน้าเมินใส่ ทำเอายูชอนทำหน้างอนใส่ แจจุงที่ยืนมองอยู่ก็เป็นอันต้องหัวเราะร่วนกับคู่ตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะยูชอน นายคงจะเหนื่อยแย่เลยที่มาเป็นแฟนกับจุนซูเนี่ย”
แจจุงพูดเสร็จก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่ แถมยังมียูชอนขำเป็นลูกคู่ด้วยอีกต่างหาก เพราะคำพูดของแจจุงนี่ล่ะ ทำให้จุนซูที่ปกติจะหน้าหนาผิดปกติจากคนทั่วไป เป็นอันต้องหน้าแดงบ้างก็คราวนี้แหละ
“แจจุง!!!! หนอยยย....ไม่ได้เจอกันนาน พัฒนาฝีปากขึ้นเยอะเชียวนะนาย”
จุนซูแผดเสียงเรียกเพื่อนรักเสียงดังลั่น แถมยังมีการใช้คำพูดจิกกัดให้เป็นการแถม ทั้ง ๆ ที่ควรจะโกรธ แต่แจจุงกลับหัวเราะหนักเข้าไปอีก ทำให้จุนซูยิ่งฉุนมากกว่าเดิมอีกละสิคราวนี้
แต่ก่อนที่จะเกิดศึกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด(?)กันในยามเช้าแบบนี้ ยูชอนเลยจัดการล็อกแขนของจุนซูไว้ เพื่อป้องกันการอาละวาดโลมาสุดโหดซะก่อน เสียงโวยวายที่ดังลั่นมาจากกลุ่มของพวกเขา เรียกให้ผู้คนหันมาจ้องกันจนเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นเกาหลีมุงซะแล้ว
“ฮะ ๆ ฉันขอโทษ ๆ ฉันก็แค่หยอกนายเล่นเท่านั้นเองอะ อย่าโกรธฉันเลยน้า~”
แจจุงส่งสายตาวิ๊บวั๊บออดอ้อนให้เพื่อนรักหายงอนอย่างน่ารัก ทำเอาจุนซูที่กำลังจะอาละวาดนั้นชะงักกึก ยูชอนปล่อยให้คนน่ารักของเขาเป็นอิสระ จุนซูไอกระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือไปไขว้หลัง และทำหน้าเคร่งเครียด
“ฮึ เห็นว่าไม่ได้เจอกันนานหรอกนะ ฉันจะไม่โกรธก็ได้ พ่อนักเขียนชื่อดัง!”
จุนซูจงใจเน้นเสียงท้ายประโยคเป็นการประชด แต่แจจุงก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าคนอย่างจุนซูนะ ถึงจะทำเป็นโหด แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่เห็นหรอก แขนเล็กเลื่อนไปโอบไหล่เพื่อนรักอย่างคุ้นเคย แจจุงและจุนซูหันมาสบตากันสักพัก ก่อนจะหลุดขำออกมาพร้อมกันทั้งคู่ ทำเอายูชอนอดที่จะอมยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
...ได้เห็นภาพยูริยามเช้าเนี่ย....มันมีความสุขแบบนี้นี่เอ๊ง~~...
“เฮ้อ~ ที่จริงฉันก็อยากจะคุยกับนายต่อน่ะนะ แต่วันนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วละ ไว้จะโทรไปหาละกัน”
จุนซูพูดพร้อมกับดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจพรืดอย่างเซ็ง ๆ แจจุงส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปทำงานเหอะ ยูชอน ฉันฝากดูแลจุนซูด้วยนะ ^ ^”
ร่างบางพูดพร้อมกับจับมือของยูชอนและจุนซูให้มาประสานกันไว้ คนหน้าหล่อส่งยิ้มมาให้แจจุงจนแก้มแทบปริ แต่คนน่ารักกลับส่งสายตาอาฆาตมาอย่างรุนแรงจนแจจุงแทบจะวิ่งหนีไปซะเดี๋ยวนั้น เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไปให้จุนซูเป็นการแก้เก้อ
“ได้เลยครับ ผมจะดูแลให้เอง”
ยูชอนพูดอย่างมั่นใจเต็มร้อย ก่อนจะเดินจูงมือคนข้างกายให้เดินไปพร้อม ๆ กัน จุนซูโบกมือลาแจจุงก่อนจะเดินไปพร้อม ๆ กับร่างสูง แจจุงโบกมือตอบกลับไปเช่นกัน ก่อนจะลดมือมาอยู่ข้างลำตัว และยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
...ไม่ได้คุยกับเพื่อนแบบนี้....มานานเท่าไหร่แล้วนะเรา....
...มีความสุขชะมัดเลยแหะ...
แจจุงเดินเรื่อยเปื่อยต่อไป สายตาก็จับจ้องบรรยากาศรอบ ๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมานานไปด้วย เดินไปได้ไม่ไกลนัก ร่างบางก็หยุดอยู่ที่ร้านหนังสือร้านหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในร้าน ร้านถูกจัดด้วยสีโทนน้ำตาลอ่อน ดูแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก แจจุงเดินไปดูมุมหนังสือนิยายก่อนเป็นอันดับแรก เพราะจะดูว่ามีนิยายเรื่องไหนน่าสนใจ และนิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน
นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือทีละเล่ม ๆ อย่างสนใจ เขาเจอนิยายที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ต้องคัดเลือกมาแค่บางเล่มเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้พกเงินมามากเท่าไหร่ ก็เลยเลือกมาไว้สองสามเล่ม เมื่อเห็นว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว แจจุงจัดการถือหนังสือนิยายที่เลือกมาไว้แนบอกด้วยแขนทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องสะดุดกึก เพราะเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายของเขาอยู่ด้านบน แถมเหลืออยู่เพียงไม่กี่เล่มซะด้วยสิ
...ว้าว ขายดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย...
แจจุงที่เพิ่งจะเคยได้รับรู้ว่านิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน พอได้เห็นเองแล้วอดจะภูมิใจไม่ได้ ริมฝีปากบางยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มสวย แต่แล้วร่างบางก็เกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นซะแล้ว พอเห็นว่านิยายของตัวเองเหลืออยู่แค่ไม่กี่เล่ม แจจุงก็เกิดอาการเสียดายแปลก ๆ
...น่าจะซื้องานของตัวเองเก็บไว้สักเล่มนึงเนอะ...
คิดได้ดังนั้น หนังสือที่แจจุงถืออยู่ก็ถูกวางไว้ก่อน แขนเรียวเอื้อมไปจนสุดความยาว แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี คราวนี้เริ่มเขย่งเท้าอีกนิดนึง เอื้อมก็แล้ว เขย่งเท้าก็แล้ว แต่ก็ยังหยิบหนังสือไม่ถึงซะที ทำเอาแจจุงอารมณ์เสียจนได้ ร่างบางเอื้อมไปหยิบหนังสือเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่ายังไง ๆ ก็เอื้อมไม่ถึงอยู่ดี จึงตัดใจไม่ซื้อผลงานของตัวเองก็ได้
...ทำไมต้องวางหนังสือไว้สูง ๆ ด้วยฟ่ะ...
แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างของใครมาซ้อนอยู่ด้านหลัง ดวงตาสวยเห็นมือของคน ๆ นั้นกำลังเอื้อมไปหยิบนิยายของเขามาเล่มหนึ่ง และนิยายเล่มนั้นก็เลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วซะด้วย
“จะเอาเล่มนี้ใช่มั้ยครับ?”
เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีเสน่ห์ดังมาจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่น้ำเสียงนั้นทำให้ใบหน้าของแจจุงเริ่มจะซับสีจาง ๆ ขึ้นมาซะแล้ว
“ชะ...ใช่ครับ....ขอบคุณครับ...”
มือเรียวยื่นไปหยิบหนังสือตรงหน้า และยื่นไปหยิบหนังสือที่เลือกไว้ทั้งหมดมาไว้แนบอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ช่วยหยิบหนังสือนิยายของตัวเองให้เมื่อตะกี้นี้
ชายหนุ่มร่างสูง ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ และพาดกระเป๋าใบใหญ่อยู่ข้างตัว ใบหน้าที่ดูคมเข้ม กับผมที่ซอยยาวระต้นคอสีดำนั้นทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ร่างสูงเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มเดิมมาอีกเล่มหนึ่ง ทำให้แจจุงยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว
...ขายหมดแล้วเหรอเนี่ย...ว้าว~...
“คุณชอบนิยายของนักเขียนคนนี้ด้วยหรอครับ?”
ชายคนนั้นถามด้วยรอยยิ้ม แจจุงที่มัวแต่ดีใจที่นิยายของตัวเองขายดีสะดุ้งด้วยความตกใจ พอสติกลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แจจุงก็ส่งยิ้มตอบไปให้ แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของคนตรงหน้าซะนี่
...จะตอบยังไงดีละเนี่ย...
...ก็คนเขียนอ่ะ....คือฉันเองนี่นา...
“อะ...เอ่อ...ใช่ครับ ผมชอบมากเลยล่ะ”
ใช่ว่าชื่อของเขาจะไม่มีคนรู้จักซะเมื่อไหร่ แต่ด้วยความที่เขาไม่ค่อยจะได้ออกไปแสดงตัวต่อสื่อต่าง ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร และการที่ไม่ชอบแสดงตัวเป็นคนดัง ทำให้แจจุงเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น
“จริงหรอครับ! ผมก็เหมือนกัน ผมซื้อนิยายของเขาตั้งแต่เรื่องแรกเลยล่ะ”
ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงสดใสมากกว่าเดิม คำพูดที่ร่างสูงพูดออกมา ทำให้แจจุงยิ้มแป้นเลยทีเดียว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมต่อหน้าแบบนี้
...นี่รึเปล่านะ...
...ที่เขาเรียกกันว่า...“ความสุข”....
“อืม....นี้ก็จะเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ...ไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ?”
ชายหนุ่มพูดพลางดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือมาเกาที่ท้ายทอยด้วยท่าทางเขินอาย แจจุงมองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกถูกชะตากับคน ๆ นี้ และความรู้สึกแบบนั้น ทำให้ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“ได้ครับ ไปทานข้าวกันดีกว่า”
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ภายในร้านอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีครีม ที่ดูแล้วเรียบง่ายแต่ก็สวยงามยิ่งนัก ชายหนุ่มทั้งสองเลือกที่จะนั่งตรงบริเวณมุมด้านในของร้าน เพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัว ทั้งสองสั่งอาหารที่ตัวเองอยากทานกันจนเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“คุยกันมาตั้งนานแล้ว ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
แจจุงเป็นคนเริ่มถามก่อน ชายหนุ่มตรงทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองลืมพูดอะไรไป ทำให้แจจุงแอบอมยิ้มเล็ก ๆ อยู่คนเดียว
...ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก...
...แต่....วิธีพูดแบบนี้....ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยจังแหะ?...
“อ๊ะ ก็ว่าลืมอะไร ผมชื่อ ชอง ยุนโฮ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ยุนโฮแนะนำตัวเสร็จ ก็ส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง แจจุงพยักหน้ารับรู้สองสามครั้ง แต่พอนึกอะไรบางอย่างออก ก็ทำให้แจจุงถึงกับตกใจตาเบิกโพลงเลยทีเดียว
...ชอง...ยุนโฮ....
...หรือว่า....จะเป็น.....!!??....
...คนที่เคยโทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่าชอบงานของเรานี่หว่า!?...
คราวนี้แจจุงเก็บอาการตกใจและเครียดไว้ไม่อยู่ซะแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี ที่มีโอกาสได้พบกับแฟนผลงานของตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกชื่อของตัวเองไป การแสดงออกที่ยุนโฮแสดงกับเขามันจะเปลี่ยนไปรึเปล่านี่สิ ที่ทำให้เขาเครียดยิ่งกว่า
...เฮ้อ....แล้วฉันจะแนะนำตัวยังไงดีเนี่ย?....
...ถ้าบอกไปตรง ๆ....เค้าจะเหมือนคนอื่นรึเปล่านะ?...
...ที่ทำยังกับว่า....ฉันเป็นคนที่สูงเกินไป....
...ฉันล่ะ....เกลียดการแสดงออกแบบนั้นชะมัดเลยแหะ...
“เอ่อ....เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ? ไม่สบายหรอ?”
ยุนโฮพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วงมาก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเนื่องจากความสงสัย แจจุงที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นการปฎิเสธ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างอดไม่ได้
“คุณยุนโฮ ถ้าผมบอกชื่อของผมแล้ว คุณจะทำตัวกับผมเหมือนเดิมได้มั้ย?”
แจจุงพูดออกมาตรง ๆ โดยที่ไม่มองหน้าคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิด ใบหน้าหวานก้มลงเล็กน้อย บรรยากาศตอนนี้เงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น แต่แล้วแจจุงก็มีความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หน้าผากขึ้นมา จนต้องเอามือมาทาบไว้ที่หน้าผากเพื่อบรรเทาความเจ็บ
“โอ๊ย!? นี่คุณมาดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย!!?”
“อะไรกัน เรียกผมว่า ‘คุณ’ อยู่นั่นล่ะ ตอนนี้เรารู้จักชื่อกันแล้วนะ ก็คุยกันแบบสบาย ๆ สิ”
“......”
“คุณจะเป็นใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลยนี่ ยังไงเราก็ยังคุยกันแบบนี้เหมือนเดิมล่ะ”
“......”
“แล้ว...คุณชื่ออะไรล่ะ? ผมจะได้เรียกถูก”
ยุนโฮปั้นหน้าดุใส่แจจุงราวกับพ่อที่กำลังสั่งสอนลูกตัวน้อย ๆ ของตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่การกระทำแบบนั้น ทำให้แจจุงหายโกรธยุนโฮเป็นปลิดทิ้ง แถมยังหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อีกต่างหาก
...ตั้งแต่เกิดมา....นอกจากจุนซูแล้ว....
...ฉันยังไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยแหะ...
...คิก ๆ....แต่ว่าก็ว่าเหอะ....มาบอกให้ฉันห้ามเรียกว่า ‘คุณ’...
...แต่ทำไมนายยังเรียกฉันแบบสุภาพอยู่เลยเนี่ย...
“ฉันชื่อ แจจุง...คิม แจจุง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ ยุนโฮ ^ ^”
แจจุงพูดเสร็จ ก็จบด้วยการแถมรอยยิ้มหวานประจำตัวไปอีกครั้ง ยุนโฮที่ได้ยินชื่อทำหน้าตกใจเหรอหรา จนร่างบางหลุดขำออกมาเสียชุดใหญ่ ยุนโฮกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังงุนงงกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อตะกี้
“นะ...นาย....นายคือนักเขียนคนนั้นน่ะหรอ?”
คำพูดสุภาพที่พูดไว้ตอนแรกเลือนหายไปซะแล้ว ทำให้แจจุงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ที่ยุนโฮนั้นทำตามที่สัญญาไว้จริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงตามสัญญาทุกอย่างรึเปล่านี่สิ ดูจากอาการตกใจนี้แล้ว....สงสัยคงจะปลื้มเขามากจริง ๆ แหะ
“อื้ม ใช่ นี่ฉันพูดจริงนะ ที่จริง...ฉันว่านายน่าจะอายุน้อยกว่าฉันอีกนะ แต่เรียกกันเหมือนเพื่อนนี่ล่ะดีแล้ว”
แจจุงพูดพร้อมพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อกี้ ยุนโฮที่เริ่มจะรวบรวมสติที่ปลิวหายไปได้บ้างแล้ว ก็ยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้ร่างบาง
“แหะ ๆ...หวา ตกใจชะมัดเลยแหะ ไม่นึกว่าจะได้คุยกับคนดังนะเนี่ย ฮ่า ๆ” พูดเสร็จ ยุนโฮก็หัวเราะออกมาเสียงดัง การกระทำที่พูดเหมือนจะเชิดชู แต่มันกลับกลายเป็นคำพูดล้อเล่นแทน ทำเอาแจจุงงงแทนละคราวนี้
...อะไรกัน....ยังมีคนที่เพี้ยนยิ่งกว่าจุนซูอีกหรอเนี่ย?....
...ปกติ....ถ้าฉันแนะนำตัวเสร็จ....
...ไม่ว่าจะเป็นใคร....ต่างก็ทำตัวสุภาพกับฉัน....
...แต่ยุนโฮ....กลับหัวเราะเหมือนกับเป็นเพื่อนกันธรรมดา ๆ....
...หึ....ดีใจชะมัดเลยแหะ...
“งั้นแสดงว่าตอนอยู่ร้านหนังสือ ที่จู่ ๆ นายก็ยิ้มออกมา เพราะฉันซื้อนิยายเล่มสุดท้ายของนายอะดิ?” ยุนโฮที่กำลังเรียบเรียงเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาถามขึ้น แจจุงส่งยิ้มกว้างไปให้ พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบ เท่านั้นล่ะ ทั้งสองต่างหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่
“ฮะ ๆ นายคิดผิดแล้วละที่มาซื้อนิยายน้ำเน่าของฉันเนี่ย” แจจุงพูดทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะค้างอยู่ ยุนโฮส่ายหน้าแทบจะทันทีที่แจจุงพูดจบ ก่อนจะพูดตอบกลับไปบ้าง
“ฉันว่ามันมีข้อคิดดี ๆ เยอะออก คนเก่งจริงเค้ามักจะไม่พูดอวดหรอกว่าตัวเองเก่งน่ะ ^ ^” ยุนโฮพูดพร้อมกับพยักหน้ากับความคิดที่ดูจะมีหลักการของตัวเอง ทำเอาแจจุงอมยิ้มออกมาเลยทีเดียว
“คิก ๆ งั้นก็ขอบคุณสำหรับคำชมด้วยละกัน” พูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ นี่คงจะเป็นครั้งหนึ่งที่เขายอมเปิดใจให้กับคนอื่น หลังจากที่ไม่ได้ทำมานานเลยทีเดียว
“แจจุง ฉันขอไปห้องน้ำแป๊ปนึงนะ” ยุนโฮพูดพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แจจุงพยักหน้าตอบรับ ใบหน้าหวานหันไปตามทางที่ยุนโฮเดิน สายตาจดจ้องแผ่นหลังกว้างของร่างสูงจนกว่าจะลับสายตาไป ถึงแม้ว่าร่างของยุนโฮจะลับสายตาไปแล้ว แต่ดวงตากลมโตก็ยังคงจดจ้องอยู่ตรงจุด ๆ เดิมโดยที่ไม่ละสายตาไปไหน
...ฉันจะคิดไปเองรึเปล่านะ....
...ว่าตอนที่ฉันส่งยิ้มไปให้ยุนโฮ....
...เหมือนกับว่า......เค้าหน้าแดง??....
...เค้าเขินฉันอย่างนั้นเหรอ???...
แจจุงสะบัดหัวไปมาแรง ๆ ไล่ความคิดบ้า ๆ ของตัวเองให้หลุดออกไปจากหัว ก่อนจะเลื่อนมือมาตบที่แก้มตัวเองเบา ๆ สองสามครั้ง และถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
...เฮ้อ....เป็นอะไรไปเนี่ยเรา.....
...ก็แค่คิดว่า....ยุนโฮเขินเรา.....
...ทำไม.....ฉันจะต้องดีใจด้วยเนี่ย?.....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ยุนโฮเดินพาร่างของตัวเองมาจนถึงห้องน้ำในเวลาไม่นาน มือหนาถูกเลื่อนไปวางค้ำไว้ที่บริเวณอ่างล้างหน้า ใบหน้าคมก้มลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยขึ้นมามองใบหน้าของตัวเองที่ถูกสะท้อนกับกระจกใสบานใหญ่ แต่ทันทีที่ดวงตาคมเห็นใบหน้าของตัวเอง มือของเขาก็รีบเลื่อนมาปิดที่ใบหน้าของตัวเองแทบจะทันที
“หวา....หน้าแดงเถือกเลยเรา....”
ใบหน้าคมก้มลงอีกครั้งอย่างเขินอาย ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ และใช้มือกวักน้ำล้างหน้าตัวเองเสียยกใหญ่ พยายามใช้ความเย็นจากของเหลว ช่วยลดอุณหภูมิของใบหน้าที่ร้อนจัดในตอนนี้ให้ลดลง แต่....พยายามเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ามันจะลดลงเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
...ไม่อยากจะเชื่อเลย....
...ว่านักเขียนที่ฉันชื่นชม....
“.....เป็นคนเดียวกัน......กับคนที่ฉันชอบ.....”
เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มือหนาเลื่อนมาปิดที่ปากของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือหยาบ
...มันเป็นโชคชะตารึเปล่านะ?...
ยุนโฮใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเช็ดหยดน้ำที่ยังเกาะอยู่ออกไปอย่างลวก ๆ ก่อนจะพาร่างของตัวเองออกไปจากห้องน้ำเดินกลับไปยังโต๊ะอาหาร ที่แจจุงกำลังนั่งรออยู่ ระยะทางที่ไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่นานยุนโฮก็เดินมาถึงโต๊ะ และหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งเดิม
“อาหารมาแล้ว กินเลยสิยุนโฮ” แจจุงพูด ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ตัวเองสั่งไว้บ้าง ท่าทางการกินที่ดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ จนเหมือนกับเด็ก ๆ ทำให้ยุนโฮแอบลอบยิ้มอยู่คนเดียว และเริ่มกินอาหารของตัวเองบ้าง
“ยุนโฮ รู้มั้ย เมื่อวานน่ะนะ.....” และแล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แจจุงชวนคุยบ้าง กินบ้าง ทำให้มื้ออาหารมื้อนี้ค่อนข้างจะครื้นเครง ถึงแม้ว่าจะอยู่กันแค่สองคน แต่บรรยากาศที่อบอุ่นนั้นกลับแผ่กว้างออกไปจนคนอื่นรู้สึกได้
พูดคุย หัวเราะ หยอกเอิน และกลับมาก้มหน้าก้มตากินอีกครั้ง วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงไม่นาน แต่ยุนโฮและแจจุงต่างรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนกับเป็นเวลาที่ผ่านมายาวนานแล้วก็ว่าได้...
...การที่เราเปิดใจต่อกัน....
...มันคงจะเป็นความสุขที่ล้นเหลือ....จนเราไม่อาจจะเก็บไว้ได้เพียงคนเดียว...
...มันมีมาก....จนเราต้องแบ่งปันให้กันและกัน....
...จึงทำให้คนสองคน....มีความสุขได้มากขนาดนี้....
“ฮ้า~ อิ่มชะมัดเลย”
ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน และใช้มือลูบที่หน้าท้อง เป็นการบอกว่าอิ่มแล้วจริง ๆ แต่พอต่างฝ่ายต่างได้ยินและเห็นการกระทำที่เหมือนกับตัวเองเปี๊ยบ ทำให้ทั้งสองจ้องตากันตาไม่กระพริบ
“นายเลียนแบบฉันทำไม??”
คราวนี้ก็หลุดพูดออกมาพร้อมกันอีก สายตาของทั้งคู่จ้องกันอย่างอาฆาต ต่างฝ่ายต่างทำหน้าตาหาเรื่องกันสุด ๆ และ.....
“อุ๊บ...........ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!!!”
สุดท้าย...ทั้งสองก็หลุดขำออกมาทั้งคู่จนได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าสิ่งที่ทำลงไปนี้เป็นการกระทำที่เหมือนกับเด็กหัวแข็งไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งคุยกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกสบายใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น
หลังจากนั่งคุยกันอีกสักพัก ยุนโฮก็อาสาเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เอง ทำเอาแจจุงยิ้มแก้มปริ แถมกอดยุนโฮไปซะเต็มรัก แต่แจจุงจะรู้บ้างหรือเปล่านะ...ว่าการกระทำแบบนี้ ทำให้ยุนโฮหัวใจเต้นระรัวจนเกือบจะเก็บอาการดีใจไว้ไม่ไหว
...วะ...หวา....นี้ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย?...
...ฉันโดนแจจุงกอด.....แถมกอดซะแน่นแบบนี้....
...ทำไงดีล่ะ...มันหุบยิ้มไม่ลงซะแล้ว....
...สงสัย....วันนี้ฉันคงจะกลายเป็นคนบ้าแน่ ๆ....
ร่างของชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากร้านอาหาร ขาสองคู่ก้าวเดินไปอย่างไม่รีบร้อน เดินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้กำหนดจุดหมายปลายทางไว้แน่นอน บางทีเห็นร้านที่มีของน่าสนใจก็เดินเข้าไปแวะบ้าง หาของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามร้านริมทางบ้าง
“ยุนโฮ ดูนี่สิ สวยมั้ย ๆ”
มือเรียวหยิบสร้อยคอรูปร่างแปลกตาแต่ดูสวยงามขึ้นมาหนึ่งเส้น พลางยื่นไปวางไว้ในมือของยุนโฮ มือหนายกสร้อยคอขึ้นสูง และใช้สายตาจ้องมองพิจารณาอย่างตั้งใจ
“อื้ม ก็สวยดีนี่ นายชอบหรอ?”
ยุนโฮตอบและถามต่อในคราวเดียวกัน แจจุงพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบกลับ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นนั้นจากมือของยุนโฮกลับคืน และก้มหน้าก้มตาดูของประดับชิ้นอื่นต่อ
ยุนโฮเห็นว่าคงจะอีกนานกว่าแจจุงจะเลือกเครื่องประดับเสร็จ เลยตัดสินใจบอกแจจุงว่าจะไปรอแถวแม่น้ำฮันท่าจะดีกว่า มือหนาจัดการเปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบกล้องประจำตัวของตัวเองขึ้นมา ระหว่างที่รอคนที่อยู่ในร้าน ยุนโฮก็ถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้ไปได้เยอะพอสมควรเชียวล่ะ
“ว้าว~ นายเป็นช่างภาพหรอเนี่ย~”
จู่ ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ยุนโฮที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายรูปก็สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าคมหันไปมองตามทางที่เสียงดังมา ดวงตาคมที่เห็นใบหน้าของอีกคนที่กำลังยิ้มอยู่อย่างน่ารัก ริมฝีปากหนาจึงเผยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างเก็บไว้ไม่ไหว
“อื้ม...นายสนใจจะถ่ายรูปคู่กันมั้ยล่ะ?”
“ได้หรอ? เอาสิ ๆ ถ่ายเลย ๆ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปตั้งนานแล้ว”
ดวงตากลมโตฉายประกายความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มหวานเผยออกมาราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นจากผู้ใหญ่ แจจุงจัดการใช้มือเซ็ททรงผมให้เนี๊ยบยิ่งกว่าเดิม ทำเอายุนโฮที่ยืนมองอยู่หลุดหัวเราะออกมาเสียชุดใหญ๋
“ฮ่า ๆ ๆ!! ไม่ต้องเนี๊ยบขนาดนั้นก็ได้”
พูดไปหัวเราะไป แจจุงที่กำลังจัดทรงให้เรียบร้อยถึงกับชะงัก ร่างบางส่งสายตาค้อนไปให้คนข้าง ๆ เสียวงใหญ่ ก่อนจะเข้าไปยืนใกล้ ๆ กันกับร่างสูงเพื่อถ่ายรูป
แขนแกร่งเลื่อนไปโอบไหล่บอบบางให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยกับการกระทำแบบนั้น ไหล่ข้างหนึ่งของแจจุงซบไปกับอกกว้างของยุนโฮ รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของร่างสูง ยุนโฮยืดแขนข้างทื่ถือกล้องไว้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายรูป
“เอ้า อยากโพสท่าอะไรก็เอาเลย”
ยุนโฮพูดด้วยรอยยิ้ม แจจุงไม่คิดอะไรมาก ชูสองนิ้วเรียวของตัวเองขึ้นมาโพสท่าคลาสสิค พร้อมกับรอยยิ้มประจำตัวที่เสริมความสดใสให้กับตัวเอง
“ฉันจะถ่ายแล้วนะ 3…2…1….”
ประโยคที่สิ้นสุดลง กล้องกำลังจะบันทึกภาพของทั้งคู่เก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ก่อนที่จะได้เก็บภาพนั้นไว้ แขนเรียวของแจจุงที่โพสท่าไว้ก็ลดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าอื่น และ....
‘แชะ!’
...เหมือนโลกหยุดหมุน....
ภาพที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะออกมาเป็นแนวพี่น้องที่น่ารัก คนเป็นพี่โอบไหล่น้องชายคล้ายกับว่าจะปกป้องคน ๆ นี้ไว้เสมอ อีกคนก็โชว์ความสดใสร่าเริงที่มีอยู่มากให้ได้เห็น ซึ่งจริง ๆ แล้วกลับเป็นน้องชายต่างหากที่ปกป้องพี่ชาย แต่ภาพที่ได้กลับกลายเป็นว่า...
...คนสองคนกำลังกอดกันอย่างอบอุ่น....
ยุนโฮยืนแข็งทื่อจนแทบจะกลายเป็นท่อนไม้ ปกติเขาเป็นคนที่คิดอะไรได้รวดเร็ว แต่รู้สึกว่าตอนนี้สมองที่แสนฉลาดนั้นมันตื้อไปหมด แขนแกร่งยังคงโอบไหล่บางไว้เช่นเดิม และวงแขนเล็กก็ยังคงกอดเอวของร่างสูงไว้แน่น
...ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่นาน....
...แต่ทั้งสองคน....กลับรู้สึกราวกับว่าเวลาของโลกมันหยุดลง....
แจจุงคลายวงแขนออก พร้อม ๆ กับที่ยุนโฮลดแขนลงและเก็บกล้องลงกระเป๋าใบใหญ่ ใบหน้าคมหันหน้าไปอีกทาง และมองไปที่ท้องฟ้าแก้เก้อ ส่วนแจจุงก็ก้มหน้างุด หันหน้าไปอีกทางเช่นกัน นิ้วชี้เรียวเขี่ยที่แก้มเนียนใสไปมาเป็นการแก้เขิน
...ทำไมจู่ ๆ ฉันถึงอยากจะกอดเค้านะ....
...แค่เผลอคิดไปนิดเดียว....
...ร่างกาย....ก็ทำไปก่อนล่วงหน้าซะแล้ว....
...อ๋า.....ไม่จริงใช่มั้ย.....รึว่า....ฉันจะ.....
“ยุนโฮ....ฉันอยากกลับบ้านแล้วอ่ะ”
แจจุงพูดขึ้นทำลายความเงียบงันระหว่างเขาและยุนโฮ ร่างสูงหันไปมองตามทางของเจ้าของเสียง ซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าเขาไปเล็กน้อยแล้ว ยุนโฮจึงเดินไปเคียงข้างร่างบางเป็นเพื่อนเดินกลับ
“เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
ยุนโฮพูดห้วน ๆ พร้อมกับเดินนำหน้าไปเล็กน้อย เหมือนกับว่ารู้เส้นทางบ้านของแจจุงเป็นอย่างดี แต่ร่างบางกลับไม่รู้ทันกับท่าทางแปลก ๆ ของยุนโฮเลยสักนิด
ร่างสูงใหญ่ของยุนโฮและร่างบางของแจจุงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ทิวทัศน์โดยรอบถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่จำนวนมาก ที่ต่างพากันเดินขวักไขว่เสียเยอะแยะไปหมด แต่แจจุงรู้สึกราวกับว่าโดยรอบนั้นมันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงสีขาวที่ปกคลุมไปโดยรอบ รับรู้ได้แค่เพียงใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเขา
แจจุงที่ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังยุนโฮอยู่เล็กน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสวยจดจ้องไปยังร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่ง ท่อนแขนที่ดูมีกล้ามนิด ๆ เหมาะกับหุ่นของผู้ชาย ช่วงขาเรียวยาวที่ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่เพียงคนเดียว แต่....เขากลับรู้สึกว่ายุนโฮเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เขาเดินตามได้ทัน ทำให้เขาแอบยืนอมยิ้มกับความใจดีของยุนโฮที่มอบมาให้เขา
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันระหว่างทางเดิน ต่างฝ่ายต่างเดินกันไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทาง หันไปมองดูสภาพรอบ ๆ เมืองที่คุ้นเคยอยู่แล้วอย่างไม่วางตา เช่นเดียวกับช่วงขาที่ก้าวต่อไปไม่หยุดเช่นกัน
“หืม?”
ร่างบางที่กำลังสนใจกับการมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ของเมือง ส่งเสียงสงสัยอยู่ในลำคอ ที่จู่ ๆ มือของเขาก็มีมือของใครสักคนมาจับไว้แน่น ใบหน้ามนก้มลงมองที่มือของตัวเอง ที่ตอนนี้มีมือใหญ่กำลังจับกุมไว้แน่นแต่อ่อนโยนยิ่งนัก ดวงตากลมโตมองไปตามแขนของคน ๆ นั้นไล่ไปเรื่อย ๆ และเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
ยุนโฮยังคงเดินนำหน้าแจจุงอยู่เล็กน้อยเช่นเดิม แต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตรงที่เขาเลื่อนมือไปจับมือกับแจจุงที่เดินอยู่ด้านหลัง ใบหน้าคมยังคงจ้องตรงไปตามทางตรงหน้า แจจุงทำหน้าตาสงสัย เหมือนจะทำให้คนตรงหน้าได้รู้ถึงอาการของเขา ทั้ง ๆ ที่ยุนโฮไม่ได้หันมามองด้านหลังแม้แต่นิด แต่พอดวงตากลมโตเหลือบไปมองบริเวณใบหูของยุนโฮ ก็ต้องยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก
...เอ๋???....นั่นมัน......
...นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย??....
...หูของยุนโฮ......แดง......
...เค้าเขินงั้นหรอ?...
แจจุงที่เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝันกระพริบตาปริบ ๆ ระหว่างที่เดินไป บางทียุนโฮก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าจะมองแต่ทางเดินอย่างเดียว บางทีก็ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนมาปิดบริเวณใบหน้าบ้าง พอสมองของแจจุงได้คิดประมวลผลอย่างดีแล้ว ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
...คิก ๆ.....ทำตัวน่ารักจังนะ.....
...มือของนาย.....ที่กำลังจับมือฉัน....
...มันอบอุ่นมาก ๆ เลยล่ะ....ยุนโฮ....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปช้าเร็วขนาดไหน แต่ตอนนี้ร่างของทั้งสองกำลังยืนหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของแจจุง ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตูรั้วเตี้ยที่หน้าบ้าน มือยังคงจับกันไว้แน่นเช่นเดิม ใบหน้าของทั้งคู่ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจนู่นนี่รอบ ๆ บ้าน ทั้ง ๆ ที่แจจุงเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังหันหน้าสำรวจบ้านตัวเองเสียยังกับเป็นแขกซะอย่างนั้น
“ถึงบ้านนายแล้วนะ” ยุนโฮเริ่มพูดก่อน แจจุงก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงในลำคอเป็นการตอบกลับ
“อื้อ...”
มือเรียวผละออกมาจากมือหนาที่แสนอบอุ่นนั้น ประตูรั้วถูกเปิดและปิดด้วยฝีมือของแจจุง ร่างบางหันหลังกลับมาส่งยิ้มให้กับร่างสูงอีกครั้งหนึ่ง
“กลับบ้านดี ๆ ล่ะ ยุนโฮ”
เสียงหวานบวกกับรอยยิ้มสวยที่ยุนโฮได้รับนั้น มันทำให้ร่างกายของเขาถูกตรึงไว้นิ่งอย่างไม่รู้ตัว เสียงเปิดและปิดประตูที่ดังขึ้นนั้นไม่ได้เรียกสติของร่างสูงให้กลับมาเลยสักนิด
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยุนโฮก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสมองประมวลเหตุการณ์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวกลม ๆ สะบัดไปมาอย่างแรงสองสามที ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนมาสอดที่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง
“หืม?”
มือที่สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋า ยุนโฮหยิบของชิ้นนั้นออกมาดู ก็พบว่าเป็นสร้อยคอเงินรูปกางเขนที่มีขายอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ดูสวยงามยิ่งนัก ที่มีเศษกระดาษแผ่นเล็กแนบติดมาด้วย ยุนโฮจัดการเก็บสร้อยนั้นลงในกระเป๋าเช่นเดิม ก่อนจะเปิดเศษกระดาษที่ถูกพับนั้นออก
‘ถึง...ยุนโฮ
เป็นไงบ้าง~ สร้อยที่ฉันเลือกให้ สวยมั้ยล่ะ?
ฉันก็มีสร้อยที่เหมือนกันอยู่อีกเส้นนึงนะ เราจะได้เอาไว้ใส่คู่กัน ^ ^
แล้วก็ อีกอย่างนะ เย็นนี้ นาย.........’
นัยน์ตาคมค่อย ๆ อ่านข้อความที่แจจุงแอบส่งให้ตัวเองอย่างช้า ๆ จนเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ทำให้ยุนโฮอดที่จะยืนยิ้มกว้างไม่ได้ ยุนโฮขอให้เขาทำอะไรบางอย่างให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาแทบจะยอมทำให้โดยที่ไม่ต้องขอด้วยซ้ำ
เศษกระดาษใบเล็กถูกพับเก็บและใส่ลงกระเป๋าไว้เช่นเดิม ยุนโฮหันไปมองบ้านของแจจุงอีกครั้งเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินกลับบ้านของตัวเองไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข...
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
‘แอ๊ด~...’
เสียงเปิดประตูบ้านที่แผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่แผ่วเบาเช่นกัน แจจุงจัดการถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านอย่างระเกะระกะตามนิสัยของผู้ชาย ขาเรียวสมส่วนก้าวเข้ามาภายในบริเวณบ้านอย่างช้า ๆ และสบายอารมณ์เป็นที่สุด
‘หมับ~ ฟอด~!!’
“เฮ้ย!!!!???”
ร่างบางสะดุ้งสุดตัว มือเรียวเลื่อนมาแนบบริเวณแก้มด้านที่ถูกใครสักคนมาหอมแก้ม แต่จะหันหน้ากลับไปมองตอนนี้ก็ไม่ไหว เพราะคน ๆ นั้นเรียกได้ว่ากระโดดมากอดเขาเสียแน่นแบบกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง จนเขายืนตัวตรงยังไม่ไหวเลย กว่าแจจุงจะกลับมายืนตัวตรงได้ ก็ต้องรอให้เจ้าของอ้อมกอดนั้นผละออกไปเสียเอง
“อ๊า~~~ พี่แจจุง~~~ ในที่สุดพี่ก็ออกมาจากห้องขังซะที ผมละคิดถึ๊ง~ คิดถึงพี่ชะมัด”
เสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งแจจุงคิดว่าเป็นเสียงที่ฟังดูกวนส้นที่สุดในชีวิต และเสียงแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชางมิน น้องชายตัวแสบของเขานี่เอง
พอรู้ว่าคนที่มาหอมแก้มและกอดเขาเสียแน่นเป็นใคร แจจุงจึงส่งยิ้มปานนางฟ้ามาจุติไปให้น้องชายสุดที่รัก ทำเอาชางมินแทบจะโผเข้าไปกอดอีกครั้ง....ถ้าไม่โดนแจจุงเขกหัวซะก่อนน่ะนะ
‘โป๊กกก~!?’
“โอ๊ยยยยยยยย เจ็บน่ะพี่!? นี้มือคนหรือค้อนกันแน่เนี่ย!!”
ชางมินเลื่อนมือข้างหนึ่งไปถูเบา ๆ บริเวณที่โดนเขกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ความเจ็บที่โดนเข้าไปเมื่อกี้ทำเอาน้ำตาเล็ด ท่าทางที่น่าสงสารของชางมินทำเอาแจจุงหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาอย่างเอือม ๆ
“แล้วใครใช้ให้มากอดพี่เสียแน่นขนาดนั้นห๊ะ! กะจะให้พี่ตายเลยรึไง!”
แจจุงพูดเสียงดุ พร้อมกับทำท่าที่คิดว่าตัวเองน่าจะทำได้น่ากลัวมาก ๆ แต่...เจ้าตัวไม่เคยรู้เลย ว่าสำหรับชางมินแล้ว ไม่ว่าแจจุงจะทำท่าให้น่ากลัวยังไง เขาก็มองว่าพี่ชายตัวเองน่ารักอยู่ดีแหละ
“ฮู้ย~ น่ากลัวตะ....”
“พอ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว พี่จะขึ้นไปห้องก่อน เดี๋ยวลงมา ชางมินก็นั่งกินขนมรอไปก่อนละกัน”
แจจุงไม่ปล่อยโอกาสให้ชางมินได้ต่อปากต่อคำ ร่างบางจัดการตัดบทชิงขึ้นไปบนห้องของตัวเองเสียก่อน ปล่อยให้ชางมินยืนลูบหัวตรงที่ถูกเขกอยู่ตรงนั้นคนเดียว โดยที่ชางมินนั้นไม่ได้รู้เลยว่า แจจุงที่กำลังเดินขึ้นไปห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นบนนั้น กำลังแอบหัวเราะกับอาการเอ๋อของเขาอยู่เงียบ ๆ
...ได้แกล้งชางมินแล้ว...อิอิ...
...ก็รู้ละน้า~...ว่าคิดถึงพี่มากขนาดไหน...
...แต่พอเห็นหน้าตาน้องชายสุดที่รักทีไร....
...มันก็อยากแกล้งขึ้นมาทุกทีสิน้า~....
“.........อะไรว่ะ ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำเลย ชิส์” ชางมินทำท่าฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นยืดกอดอกอย่างเซ็ง ๆ
...ฮึ่ย....คิดว่าไม่มีใครเห็นรึไง...
...เมื่อกี้อ่ะ....มากับใครก็ไม่รู้....
...แต่ที่แน่ ๆ.....สงสัยคน ๆ นั้นต้องชอบพี่แจจุงแหงเลย....
“ฮึ่ย ๆ ๆ ก็พี่แจจุงน่ารักขนาดนี้ คนเป็นน้องอย่างเราก็ต้องหวงอยู่แล้ว!!”
ชางมินตะโกนอย่างโมโหออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปที่โซฟา มือเรียวจัดการหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และหยิบขนมห่อใหญ่มากินเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง...
ทางด้านแจจุงที่เดินกำลังจะถึงหน้าห้องตัวเอง พอได้ยินเสียงตะโกนของชางมิน ทำให้ขาเรียวต้องชะงักกึก ก่อนจะหันไปมองที่บันไดเนื่องจากงงกับอาการของน้องชายตัวเอง
...อ้าว...เป็นอะไรไปแล้วล่ะนั่น?...
...แค่ไม่ได้ต่อปากต่อคำ....ถึงกับลงแดงเชียวเรอะ?...
แจจุงผู้ไม่รู้ถึงความหวงพี่ชายของชางมินเลยแม้แต่นิด ได้แต่ยืนส่ายหัวเอือมระอากับอาการของน้องชาย เมื่อปลงกับสภาพของชางมินได้แล้ว ขาเรียวก็ก้าวไปยังหน้าห้องของตัวเองต่อ
“อ๊ะ นี่มัน...”
ร่างบางที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง เห็นกระดาษใบเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งแปะอยู่ที่บานประตู ดวงตากลมโตกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป
‘ไง...แจจุง
วันนี้ฉันไม่ว่างที่จะมานั่งคุยกับนายหรอกนะ
เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ กรุณาจัดเวลาให้ว่างทั้งวันด้วยนะ คุณนักเขียนชื่อดัง
เพราะฉันจะคุย ๆ ๆ กับนายให้หายคิดถึงกันไปข้างนึงเลย
หัดใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้างได้ม่ะ? วัน ๆ อยู่แต่ในห้องไม่เบื่อบ้างรึไง~
แล้วทีหลังก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลากับชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง
ไม่ใช่กินข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน คอยดูเหอะ ฉันจะสาปแช่งให้นายอ้วนเป็นตุ่มเลย~!
จาก...จุนซู’
แจจุงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ กับประโยคที่จุนซูเขียนทิ้งไว้ให้เขา มือเรียวจัดการดึงกระดาษที่แปะไว้ออกมา ก้มลงมองข้อความในกระดาษนั้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข ข้อความที่ดูเหมือนว่าจุนซูจะด่าเขา แต่จริง ๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและเอาใจใส่เขาอยู่มากเลยทีเดียว
...ฉัน....ลืมช่วงเวลาแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...
...แค่ข้อความที่เพื่อนเขียนทิ้งไว้...
...มันทำให้เรา....ยิ้มได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ?....
...ความรัก....ความห่วงใยที่ส่งผ่านมาทางตัวอักษร....
...มันมีค่าต่อคนที่ได้รับมากจริง ๆ....
‘แอ๊ด~’
ประตูบานเล็กถูกเปิดและปิดลง ขาเรียวยาวก้าวไม่กี่ก้าวก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด ตรงนี้เป็นที่เขามักจะนั่งเขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ อยู่เสมอ แจจุงจัดการวางกระดาษที่จุนซูเขียนข้อความทิ้งไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบปากกาและสมุดเขียนพล็อตเรื่องนิยายของเขาขึ้นมา
มือขวาจับปากกามาทาบไว้ที่แก้ม มือซ้ายเคาะบนกระดาษอย่างใช้ความคิด คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และเปลือกตาบางที่ปิดดวงตากลมโตสินิลไว้จนมิด แจจุงทำท่าแบบนี้อยู่สักพัก เพื่อนึกพล็อตเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของเขา เขาพยายามคิดทบทวนสำหรับสิ่งที่เขาได้พบเจอตลอดช่วงเวลาในวันนี้...ช่วงเวลาดี ๆ ที่เขาไม่ได้พบมาแสนนาน...
...วันนี้....ฉันก็ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้วสินะ....
...ความรักน่ะ....ไม่เห็นจำเป็นว่า....จะต้องเป็นแบบ ‘คู่รัก’ ซะหน่อย...
...ความรักมีทั้งแบบเพื่อน....แบบพี่น้อง....แบบพ่อแม่ลูก....แบบแฟน....
...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันมีอยู่มากมายขนาดนี้....
...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันอยู่รอบ ๆ เราเสมอมา....
...ทำไมฉันถึงได้มองข้ามสิ่งดี ๆ แบบนี้ไปได้นะ?....
ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น ปากกาที่วางทาบไว้กับแก้ม ถูกเลื่อนให้ปลายปากกาจรดลงบนแผ่นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ และขีดเขียนออกมาเป็นตัวอักษรที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป
...บางที....การที่เรามัวแต่คิดมากเกินไป....
...มันอาจจะทำให้เรา....ลืมมองสิ่งดี ๆ ที่อยู่ข้างกายเราก็ได้เนอะ...
...ทำไม....เราไม่ลองมองไปรอบ ๆ กายเราดูบ้างนะ....
...บางที....เราอาจจะได้รับความรักมากมายอย่างล้นเหลือ....โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้....
ปลายปากกาหยุดลง มือเรียววางปากกาทับไว้บนกระดาษแผ่นเดิม ดวงตากลมโตมองชื่อเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของตัวเอง ที่เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องดี ๆ ในวันนี้ที่เขาได้เจอ... ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจอีกครั้งอย่างมีความสุข...
‘...Love is All Around…’
((rrRrrrRrrrrR))
ติ๊ด...
“ฮัลโหล.......ว่าไง ยุนโฮ”
...สำหรับตอนนี้....
...ผมว่า....ผมเจอความรักหลายรูปแบบแล้วล่ะ...
...ตอนนี้.....คุณเจอ ‘ความรัก’ รึยังครับ?....
Title: Love is All Around
Paring: Yunho x Jaejoong
Author: ~#DN_LoveR#~
Author Note: ฟิคนี้ตอนแรกแต่งเป็นคู่คังทึก แต่ว่าอยากให้แคสได้อ่านฟิคเรื่องนี้ด้วย ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ชั่นยุนแจให้ได้อ่านกัน ^ ^ เป็นฟิคที่แต่งไว้นานมาก~แล้ว สำหรับฟิคเรื่องนี้เบลล์ขอนำเสนอสุดใจขาดดิ้น เพราะเป็นเรื่องที่แต่งแล้วดูจะมีสาระดีที่สุด =_=” แก้ไขภาษาให้ดีขึ้นจากแบบคู่คังทึกนิดนึง และมันก็เป็นความบังเอิญที่ลงตัว ว่าตัวละครมี 5 คนพอดี ไม่ขาดไม่เกิน เอิ๊ก ๆ เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ขอให้สนุกกับฟิคเรื่องนี้นะคะ~
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
ช่วงเวลาในยามค่ำคืน ที่ผู้คนต่างพากันหลับใหลเพราะเหนื่อยล้ากับการเผชิญกิจกรรมต่าง ๆ ในยามเช้ามามากมาย แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กห้องหนึ่ง กลับมีชายหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งกำลังลงมือเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ลงบนกระดาษด้วยลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในห้องนั้นเงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงของนาฬิกาเท่านั้นที่ทำให้ห้องนั้นไม่เงียบจนเกินไป
มือเรียวที่ขยับไหวไปมาเพราะการเขียนหนังสือ เขียนสักพัก มือนั้นก็หยุดนิ่ง ก่อนจะเลื่อนปากกามาทาบไว้ที่แก้มอย่างใช้ความคิด มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนแว่นสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะลงมือเขียนอีกครั้ง ไม่นานนัก มือเรียวก็วางปากกาแท่งนั้นลงบนกองกระดาษหนาปึกนั่น แว่นสายตาถูกถอดออก และถูกนำไปวางไว้บนกองกระดาษนั่นเช่นกัน แผ่นหลังบางเอนไปกับพนักพิงของเก้าอี้เพื่อคลายความอ่อนล้า
“เฮ้อ~...ในที่สุดก็เขียนจบซะที...”
แจจุงยืนขึ้นเต็มความสูง พลางเหยียดแขนและบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปไม่กี่ก้าว แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้นอย่างอ่อนล้า ดวงตากลมโตเหลือบไปมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาในตอนนี้
“ตี 2 ?....นี่เรานั่งเขียนจนถึงป่านนี้เชียว”
แจจุงถอนหายใจยาว มือเรียวเกาหัวตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ร่างบางพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหนื่อยก็เหนื่อย อยากจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยเต็มที...แต่ทำไมกลับนอนไม่หลับซะทีนะ?
...เหมือนกับว่าเขากำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่...
ความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนชื่อดังในตอนวัยรุ่น ตอนนี้เขาได้ทำให้มันเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเขาจะเขียนนิยายเรื่องใดออกขาย ยอดขายมักจะดีเกินคาดเสมอ เรียกได้ว่าวางขายปุ๊บก็หมดภายในวันเดียวเลยก็ว่าได้ แต่...พอเขาเริ่มดังในฐานะนักเขียนแล้ว เขาก็ต้องขังตัวเองอยู่ในห้องแทบจะทุกวัน บังคับให้ตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ ออกมาขายเรื่อย ๆ ช่วงเวลาเกือบทั้งวันเขาแทบจะไม่ได้พบหน้าคนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว
ร่างบางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมาอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาบดบังภาพตรงหน้าเสียจนมืดมิด ต้องทนเหนื่อยมาเป็นเวลานาน....แต่พอได้พัก กลับหลับไม่ลงซะอย่างนี้ ทำให้แจจุงต้องพยายามข่มตาเพื่อที่จะพักผ่อนให้ได้
...ฉันจะย้อนเวลากลับไปได้มั้ยนะ...
...เวลา....ที่ฉันยังมีอิสระ....
...เวลา....ที่ฉันยังได้รับสิ่งที่เรียกว่า “รัก”....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ร่างบางที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางที่เขามักจะไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ เพราะมักจะนอนหลับอยู่เสมอ แต่คืนนี้เขากลับนอนไม่หลับ แจจุงเลื่อนตัวลงจากเตียง ก่อนจะก้าวขาไปยังห้องอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย
ไม่นานนัก แจจุงก็อยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ เสื้อยืดสีชมพูอ่อน กับกางเกงยีนส์สีเข้มที่เขามักจะใส่อยู่ประจำ ขาเรียวเดินลงมาจากชั้นสอง ระหว่างทางเดินก็ผ่านโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีพ่อ แม่ และชางมินน้องชายของเขากำลังร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันอยู่
“อรุณสวัสดิ์ฮะ ผมขอออกไปเดินเล่นสักหน่อยนะ”
แจจุงพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่คนสามคนที่กำลังจะรับประทานอาหารกลับหันขวับมาจ้องเจ้าของเสียงกันอย่างรวดเร็ว แจจุงหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ประจำมาใส่ ก่อนจะเปิดประตูบ้านเดินออกไป
‘ปัง’
ถึงแม้ว่าประตูจะปิดไปแล้ว แต่สมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็ยังคงจ้องที่อยู่ประตูบ้านกันตาค้าง พอเริ่มได้สติ ก็หันมามองหน้ากันอยู่สามคนด้วยความงุนงง ก่อนที่ลูกชายคนสุดท้องจะโผล่งคำพูดออกมาเสียดังลั่น
“พี่แจจุงตื่นตอนเช้า....แถมยังออกมาจากห้องให้เห็นหน้าอีก...เหลือเชื่อ!?”
ชางมินพูดอย่างตกใจและทึ่งสุด ๆ ผู้เป็นพ่อแม่พยักหน้าเห็นด้วยกันสุด ๆ ก่อนจะร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเช้ากันตามปกติ และมีหัวข้อสนทนาประจำวันนี้ก็คือ ‘แจจุง’ นั่นเอง...
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
บรรยากาศช่วงเช้าตรู่แบบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็พากันมาเดินเล่น สูดอากาศที่แสนสดชื่นยามเช้ากันซะส่วนใหญ่ บางส่วนก็มาออกกำลังกายยามเช้า ภาพบรรยากาศที่แสบอบอุ่นที่เขาไม่ได้เห็นซะนานนี้ มันช่างชวนให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีตเสียจริง
ขาเรียวพาร่างของตัวเองเดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างช้า ๆ มือสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋า ค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เขามีเวลาออกมาเดินเล่นแบบนี้ก็เรียกว่ามหัศจรรย์ได้แล้วล่ะ ขาเรียวหยุดกึก ใบหน้าหวานเงยขึ้น ดวงตากลมโตจดจ้องท้องฟ้าเบื้องบนที่เป็นสีฟ้าคราม สีอ่อน ๆ ที่ดูสบายตา ทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
...ไม่ได้ยิ้มแบบนี้....นานขนาดไหนแล้วนะ...
แต่แล้วบรรยากาศที่แสนจะชื่นมื่นสดใสสำหรับเขาก็ต้องดับลง เมื่อจู่ ๆ หัวของแจจุงก็ถูกมือของใครสักคนผลักซะเต็มแรง จนหัวของเขาแทบคว่ำ มือบางถูกเลื่อนมากุมหัวบริเวณที่โดนผลักซะเต็มที่ ก่อนจะหันขวับไปจ้องหน้าคนที่มาทำแบบนี้กับเขา
“ไอ้......!!!!!!!!!!” เสียงหวานพูดออกมาเสียงดัง แต่ก็ต้องเงียบและอึ้งทันที เมื่อเห็นคนตรงหน้า
“แจจุง!!!!! นี่นายจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย!?” คนตรงหน้าพูดอย่างตกใจ
“จุนซู! นายจริง ๆ ด้วย!” แจจุงพูดอย่างดีใจ ก่อนจะถลาเข้าไปกอดเพื่อนรักของเขาซะแน่น จุนซูก็เช่นกัน กอดตอบเพื่อนรักซะแน่นด้วยความคิดถึง ทั้งสองกอดกันไปมา ยิ้มกันอย่างร่าเริงสุด ๆ โดยไม่ได้สนใจคนที่มาด้วยกันกับจุนซูเลยสักนิด...
“แจจุง! ฉันล่ะตกใจจริง ๆ ที่เห็นนาย สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกแหง ๆ”
“......”
“อ้าว ปากเหรอนั่น อะไรว่ะ ก็แค่ออกมาเดินเล่นบ้างแค่เนี่ย”
“......”
“ก็ตั้งแต่นายเป็นนักเขียน ฉันแทบจะไม่เห็นหัวนายเลยนี่ ดูดิ โทรศัพท์ก็มี ไม่หัดโทรมาหาฉันบ้างเล้ย~”
“......”
“โอ๋ ๆ ขอโทษ~ ก็ฉันต้องรีบเขียนต้นฉบับส่งนี่นา~”
“......”
“เออ แล้วเนี่ย นายรู้รึยังว่า.....”
“เอ่อ........ขอโทษนะครับ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้บทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองต้องชะงัก แจจุงหันไปจ้องมองใบหน้าเจ้าของเสียงนั่น เรียกได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ใบหน้าคม ดวงตากลมโตที่ดูมีเสน่ห์ กลุ่มผมสีดำขลับที่ดูตัดกับสีผิว จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มที่แฝงความขี้เล่นมาให้แจจุง แจจุงจึงยิ้มตอบกลับไป
“อ๊ะ ลืมแนะนำไป แจจุง นี่ยูชอน แต่ไม่ต้องไปญาติดีกับมันนักหรอกนะ”
จุนซูแนะนำคนข้าง ๆ อย่างขอไปที และทำหน้าเมินใส่ ทำเอายูชอนทำหน้างอนใส่ แจจุงที่ยืนมองอยู่ก็เป็นอันต้องหัวเราะร่วนกับคู่ตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะยูชอน นายคงจะเหนื่อยแย่เลยที่มาเป็นแฟนกับจุนซูเนี่ย”
แจจุงพูดเสร็จก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่ แถมยังมียูชอนขำเป็นลูกคู่ด้วยอีกต่างหาก เพราะคำพูดของแจจุงนี่ล่ะ ทำให้จุนซูที่ปกติจะหน้าหนาผิดปกติจากคนทั่วไป เป็นอันต้องหน้าแดงบ้างก็คราวนี้แหละ
“แจจุง!!!! หนอยยย....ไม่ได้เจอกันนาน พัฒนาฝีปากขึ้นเยอะเชียวนะนาย”
จุนซูแผดเสียงเรียกเพื่อนรักเสียงดังลั่น แถมยังมีการใช้คำพูดจิกกัดให้เป็นการแถม ทั้ง ๆ ที่ควรจะโกรธ แต่แจจุงกลับหัวเราะหนักเข้าไปอีก ทำให้จุนซูยิ่งฉุนมากกว่าเดิมอีกละสิคราวนี้
แต่ก่อนที่จะเกิดศึกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด(?)กันในยามเช้าแบบนี้ ยูชอนเลยจัดการล็อกแขนของจุนซูไว้ เพื่อป้องกันการอาละวาดโลมาสุดโหดซะก่อน เสียงโวยวายที่ดังลั่นมาจากกลุ่มของพวกเขา เรียกให้ผู้คนหันมาจ้องกันจนเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นเกาหลีมุงซะแล้ว
“ฮะ ๆ ฉันขอโทษ ๆ ฉันก็แค่หยอกนายเล่นเท่านั้นเองอะ อย่าโกรธฉันเลยน้า~”
แจจุงส่งสายตาวิ๊บวั๊บออดอ้อนให้เพื่อนรักหายงอนอย่างน่ารัก ทำเอาจุนซูที่กำลังจะอาละวาดนั้นชะงักกึก ยูชอนปล่อยให้คนน่ารักของเขาเป็นอิสระ จุนซูไอกระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือไปไขว้หลัง และทำหน้าเคร่งเครียด
“ฮึ เห็นว่าไม่ได้เจอกันนานหรอกนะ ฉันจะไม่โกรธก็ได้ พ่อนักเขียนชื่อดัง!”
จุนซูจงใจเน้นเสียงท้ายประโยคเป็นการประชด แต่แจจุงก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าคนอย่างจุนซูนะ ถึงจะทำเป็นโหด แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่เห็นหรอก แขนเล็กเลื่อนไปโอบไหล่เพื่อนรักอย่างคุ้นเคย แจจุงและจุนซูหันมาสบตากันสักพัก ก่อนจะหลุดขำออกมาพร้อมกันทั้งคู่ ทำเอายูชอนอดที่จะอมยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
...ได้เห็นภาพยูริยามเช้าเนี่ย....มันมีความสุขแบบนี้นี่เอ๊ง~~...
“เฮ้อ~ ที่จริงฉันก็อยากจะคุยกับนายต่อน่ะนะ แต่วันนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วละ ไว้จะโทรไปหาละกัน”
จุนซูพูดพร้อมกับดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจพรืดอย่างเซ็ง ๆ แจจุงส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปทำงานเหอะ ยูชอน ฉันฝากดูแลจุนซูด้วยนะ ^ ^”
ร่างบางพูดพร้อมกับจับมือของยูชอนและจุนซูให้มาประสานกันไว้ คนหน้าหล่อส่งยิ้มมาให้แจจุงจนแก้มแทบปริ แต่คนน่ารักกลับส่งสายตาอาฆาตมาอย่างรุนแรงจนแจจุงแทบจะวิ่งหนีไปซะเดี๋ยวนั้น เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไปให้จุนซูเป็นการแก้เก้อ
“ได้เลยครับ ผมจะดูแลให้เอง”
ยูชอนพูดอย่างมั่นใจเต็มร้อย ก่อนจะเดินจูงมือคนข้างกายให้เดินไปพร้อม ๆ กัน จุนซูโบกมือลาแจจุงก่อนจะเดินไปพร้อม ๆ กับร่างสูง แจจุงโบกมือตอบกลับไปเช่นกัน ก่อนจะลดมือมาอยู่ข้างลำตัว และยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
...ไม่ได้คุยกับเพื่อนแบบนี้....มานานเท่าไหร่แล้วนะเรา....
...มีความสุขชะมัดเลยแหะ...
แจจุงเดินเรื่อยเปื่อยต่อไป สายตาก็จับจ้องบรรยากาศรอบ ๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมานานไปด้วย เดินไปได้ไม่ไกลนัก ร่างบางก็หยุดอยู่ที่ร้านหนังสือร้านหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในร้าน ร้านถูกจัดด้วยสีโทนน้ำตาลอ่อน ดูแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก แจจุงเดินไปดูมุมหนังสือนิยายก่อนเป็นอันดับแรก เพราะจะดูว่ามีนิยายเรื่องไหนน่าสนใจ และนิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน
นิ้วเรียวไล่ตามสันหนังสือทีละเล่ม ๆ อย่างสนใจ เขาเจอนิยายที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ต้องคัดเลือกมาแค่บางเล่มเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้พกเงินมามากเท่าไหร่ ก็เลยเลือกมาไว้สองสามเล่ม เมื่อเห็นว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว แจจุงจัดการถือหนังสือนิยายที่เลือกมาไว้แนบอกด้วยแขนทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องสะดุดกึก เพราะเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายของเขาอยู่ด้านบน แถมเหลืออยู่เพียงไม่กี่เล่มซะด้วยสิ
...ว้าว ขายดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย...
แจจุงที่เพิ่งจะเคยได้รับรู้ว่านิยายของตัวเองนั้นขายดีขนาดไหน พอได้เห็นเองแล้วอดจะภูมิใจไม่ได้ ริมฝีปากบางยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มสวย แต่แล้วร่างบางก็เกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นซะแล้ว พอเห็นว่านิยายของตัวเองเหลืออยู่แค่ไม่กี่เล่ม แจจุงก็เกิดอาการเสียดายแปลก ๆ
...น่าจะซื้องานของตัวเองเก็บไว้สักเล่มนึงเนอะ...
คิดได้ดังนั้น หนังสือที่แจจุงถืออยู่ก็ถูกวางไว้ก่อน แขนเรียวเอื้อมไปจนสุดความยาว แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี คราวนี้เริ่มเขย่งเท้าอีกนิดนึง เอื้อมก็แล้ว เขย่งเท้าก็แล้ว แต่ก็ยังหยิบหนังสือไม่ถึงซะที ทำเอาแจจุงอารมณ์เสียจนได้ ร่างบางเอื้อมไปหยิบหนังสือเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่ายังไง ๆ ก็เอื้อมไม่ถึงอยู่ดี จึงตัดใจไม่ซื้อผลงานของตัวเองก็ได้
...ทำไมต้องวางหนังสือไว้สูง ๆ ด้วยฟ่ะ...
แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างของใครมาซ้อนอยู่ด้านหลัง ดวงตาสวยเห็นมือของคน ๆ นั้นกำลังเอื้อมไปหยิบนิยายของเขามาเล่มหนึ่ง และนิยายเล่มนั้นก็เลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วซะด้วย
“จะเอาเล่มนี้ใช่มั้ยครับ?”
เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีเสน่ห์ดังมาจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่น้ำเสียงนั้นทำให้ใบหน้าของแจจุงเริ่มจะซับสีจาง ๆ ขึ้นมาซะแล้ว
“ชะ...ใช่ครับ....ขอบคุณครับ...”
มือเรียวยื่นไปหยิบหนังสือตรงหน้า และยื่นไปหยิบหนังสือที่เลือกไว้ทั้งหมดมาไว้แนบอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ช่วยหยิบหนังสือนิยายของตัวเองให้เมื่อตะกี้นี้
ชายหนุ่มร่างสูง ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ และพาดกระเป๋าใบใหญ่อยู่ข้างตัว ใบหน้าที่ดูคมเข้ม กับผมที่ซอยยาวระต้นคอสีดำนั้นทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ร่างสูงเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มเดิมมาอีกเล่มหนึ่ง ทำให้แจจุงยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว
...ขายหมดแล้วเหรอเนี่ย...ว้าว~...
“คุณชอบนิยายของนักเขียนคนนี้ด้วยหรอครับ?”
ชายคนนั้นถามด้วยรอยยิ้ม แจจุงที่มัวแต่ดีใจที่นิยายของตัวเองขายดีสะดุ้งด้วยความตกใจ พอสติกลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แจจุงก็ส่งยิ้มตอบไปให้ แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของคนตรงหน้าซะนี่
...จะตอบยังไงดีละเนี่ย...
...ก็คนเขียนอ่ะ....คือฉันเองนี่นา...
“อะ...เอ่อ...ใช่ครับ ผมชอบมากเลยล่ะ”
ใช่ว่าชื่อของเขาจะไม่มีคนรู้จักซะเมื่อไหร่ แต่ด้วยความที่เขาไม่ค่อยจะได้ออกไปแสดงตัวต่อสื่อต่าง ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร และการที่ไม่ชอบแสดงตัวเป็นคนดัง ทำให้แจจุงเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น
“จริงหรอครับ! ผมก็เหมือนกัน ผมซื้อนิยายของเขาตั้งแต่เรื่องแรกเลยล่ะ”
ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงสดใสมากกว่าเดิม คำพูดที่ร่างสูงพูดออกมา ทำให้แจจุงยิ้มแป้นเลยทีเดียว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมต่อหน้าแบบนี้
...นี่รึเปล่านะ...
...ที่เขาเรียกกันว่า...“ความสุข”....
“อืม....นี้ก็จะเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ...ไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ?”
ชายหนุ่มพูดพลางดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือมาเกาที่ท้ายทอยด้วยท่าทางเขินอาย แจจุงมองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกถูกชะตากับคน ๆ นี้ และความรู้สึกแบบนั้น ทำให้ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“ได้ครับ ไปทานข้าวกันดีกว่า”
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ภายในร้านอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีครีม ที่ดูแล้วเรียบง่ายแต่ก็สวยงามยิ่งนัก ชายหนุ่มทั้งสองเลือกที่จะนั่งตรงบริเวณมุมด้านในของร้าน เพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัว ทั้งสองสั่งอาหารที่ตัวเองอยากทานกันจนเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“คุยกันมาตั้งนานแล้ว ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
แจจุงเป็นคนเริ่มถามก่อน ชายหนุ่มตรงทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองลืมพูดอะไรไป ทำให้แจจุงแอบอมยิ้มเล็ก ๆ อยู่คนเดียว
...ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก...
...แต่....วิธีพูดแบบนี้....ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยจังแหะ?...
“อ๊ะ ก็ว่าลืมอะไร ผมชื่อ ชอง ยุนโฮ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ยุนโฮแนะนำตัวเสร็จ ก็ส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง แจจุงพยักหน้ารับรู้สองสามครั้ง แต่พอนึกอะไรบางอย่างออก ก็ทำให้แจจุงถึงกับตกใจตาเบิกโพลงเลยทีเดียว
...ชอง...ยุนโฮ....
...หรือว่า....จะเป็น.....!!??....
...คนที่เคยโทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่าชอบงานของเรานี่หว่า!?...
คราวนี้แจจุงเก็บอาการตกใจและเครียดไว้ไม่อยู่ซะแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี ที่มีโอกาสได้พบกับแฟนผลงานของตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกชื่อของตัวเองไป การแสดงออกที่ยุนโฮแสดงกับเขามันจะเปลี่ยนไปรึเปล่านี่สิ ที่ทำให้เขาเครียดยิ่งกว่า
...เฮ้อ....แล้วฉันจะแนะนำตัวยังไงดีเนี่ย?....
...ถ้าบอกไปตรง ๆ....เค้าจะเหมือนคนอื่นรึเปล่านะ?...
...ที่ทำยังกับว่า....ฉันเป็นคนที่สูงเกินไป....
...ฉันล่ะ....เกลียดการแสดงออกแบบนั้นชะมัดเลยแหะ...
“เอ่อ....เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ? ไม่สบายหรอ?”
ยุนโฮพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วงมาก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเนื่องจากความสงสัย แจจุงที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นการปฎิเสธ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างอดไม่ได้
“คุณยุนโฮ ถ้าผมบอกชื่อของผมแล้ว คุณจะทำตัวกับผมเหมือนเดิมได้มั้ย?”
แจจุงพูดออกมาตรง ๆ โดยที่ไม่มองหน้าคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิด ใบหน้าหวานก้มลงเล็กน้อย บรรยากาศตอนนี้เงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น แต่แล้วแจจุงก็มีความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หน้าผากขึ้นมา จนต้องเอามือมาทาบไว้ที่หน้าผากเพื่อบรรเทาความเจ็บ
“โอ๊ย!? นี่คุณมาดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย!!?”
“อะไรกัน เรียกผมว่า ‘คุณ’ อยู่นั่นล่ะ ตอนนี้เรารู้จักชื่อกันแล้วนะ ก็คุยกันแบบสบาย ๆ สิ”
“......”
“คุณจะเป็นใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลยนี่ ยังไงเราก็ยังคุยกันแบบนี้เหมือนเดิมล่ะ”
“......”
“แล้ว...คุณชื่ออะไรล่ะ? ผมจะได้เรียกถูก”
ยุนโฮปั้นหน้าดุใส่แจจุงราวกับพ่อที่กำลังสั่งสอนลูกตัวน้อย ๆ ของตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่การกระทำแบบนั้น ทำให้แจจุงหายโกรธยุนโฮเป็นปลิดทิ้ง แถมยังหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อีกต่างหาก
...ตั้งแต่เกิดมา....นอกจากจุนซูแล้ว....
...ฉันยังไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยแหะ...
...คิก ๆ....แต่ว่าก็ว่าเหอะ....มาบอกให้ฉันห้ามเรียกว่า ‘คุณ’...
...แต่ทำไมนายยังเรียกฉันแบบสุภาพอยู่เลยเนี่ย...
“ฉันชื่อ แจจุง...คิม แจจุง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ ยุนโฮ ^ ^”
แจจุงพูดเสร็จ ก็จบด้วยการแถมรอยยิ้มหวานประจำตัวไปอีกครั้ง ยุนโฮที่ได้ยินชื่อทำหน้าตกใจเหรอหรา จนร่างบางหลุดขำออกมาเสียชุดใหญ่ ยุนโฮกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังงุนงงกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อตะกี้
“นะ...นาย....นายคือนักเขียนคนนั้นน่ะหรอ?”
คำพูดสุภาพที่พูดไว้ตอนแรกเลือนหายไปซะแล้ว ทำให้แจจุงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ที่ยุนโฮนั้นทำตามที่สัญญาไว้จริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงตามสัญญาทุกอย่างรึเปล่านี่สิ ดูจากอาการตกใจนี้แล้ว....สงสัยคงจะปลื้มเขามากจริง ๆ แหะ
“อื้ม ใช่ นี่ฉันพูดจริงนะ ที่จริง...ฉันว่านายน่าจะอายุน้อยกว่าฉันอีกนะ แต่เรียกกันเหมือนเพื่อนนี่ล่ะดีแล้ว”
แจจุงพูดพร้อมพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อกี้ ยุนโฮที่เริ่มจะรวบรวมสติที่ปลิวหายไปได้บ้างแล้ว ก็ยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้ร่างบาง
“แหะ ๆ...หวา ตกใจชะมัดเลยแหะ ไม่นึกว่าจะได้คุยกับคนดังนะเนี่ย ฮ่า ๆ” พูดเสร็จ ยุนโฮก็หัวเราะออกมาเสียงดัง การกระทำที่พูดเหมือนจะเชิดชู แต่มันกลับกลายเป็นคำพูดล้อเล่นแทน ทำเอาแจจุงงงแทนละคราวนี้
...อะไรกัน....ยังมีคนที่เพี้ยนยิ่งกว่าจุนซูอีกหรอเนี่ย?....
...ปกติ....ถ้าฉันแนะนำตัวเสร็จ....
...ไม่ว่าจะเป็นใคร....ต่างก็ทำตัวสุภาพกับฉัน....
...แต่ยุนโฮ....กลับหัวเราะเหมือนกับเป็นเพื่อนกันธรรมดา ๆ....
...หึ....ดีใจชะมัดเลยแหะ...
“งั้นแสดงว่าตอนอยู่ร้านหนังสือ ที่จู่ ๆ นายก็ยิ้มออกมา เพราะฉันซื้อนิยายเล่มสุดท้ายของนายอะดิ?” ยุนโฮที่กำลังเรียบเรียงเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาถามขึ้น แจจุงส่งยิ้มกว้างไปให้ พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบ เท่านั้นล่ะ ทั้งสองต่างหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่
“ฮะ ๆ นายคิดผิดแล้วละที่มาซื้อนิยายน้ำเน่าของฉันเนี่ย” แจจุงพูดทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะค้างอยู่ ยุนโฮส่ายหน้าแทบจะทันทีที่แจจุงพูดจบ ก่อนจะพูดตอบกลับไปบ้าง
“ฉันว่ามันมีข้อคิดดี ๆ เยอะออก คนเก่งจริงเค้ามักจะไม่พูดอวดหรอกว่าตัวเองเก่งน่ะ ^ ^” ยุนโฮพูดพร้อมกับพยักหน้ากับความคิดที่ดูจะมีหลักการของตัวเอง ทำเอาแจจุงอมยิ้มออกมาเลยทีเดียว
“คิก ๆ งั้นก็ขอบคุณสำหรับคำชมด้วยละกัน” พูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ นี่คงจะเป็นครั้งหนึ่งที่เขายอมเปิดใจให้กับคนอื่น หลังจากที่ไม่ได้ทำมานานเลยทีเดียว
“แจจุง ฉันขอไปห้องน้ำแป๊ปนึงนะ” ยุนโฮพูดพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แจจุงพยักหน้าตอบรับ ใบหน้าหวานหันไปตามทางที่ยุนโฮเดิน สายตาจดจ้องแผ่นหลังกว้างของร่างสูงจนกว่าจะลับสายตาไป ถึงแม้ว่าร่างของยุนโฮจะลับสายตาไปแล้ว แต่ดวงตากลมโตก็ยังคงจดจ้องอยู่ตรงจุด ๆ เดิมโดยที่ไม่ละสายตาไปไหน
...ฉันจะคิดไปเองรึเปล่านะ....
...ว่าตอนที่ฉันส่งยิ้มไปให้ยุนโฮ....
...เหมือนกับว่า......เค้าหน้าแดง??....
...เค้าเขินฉันอย่างนั้นเหรอ???...
แจจุงสะบัดหัวไปมาแรง ๆ ไล่ความคิดบ้า ๆ ของตัวเองให้หลุดออกไปจากหัว ก่อนจะเลื่อนมือมาตบที่แก้มตัวเองเบา ๆ สองสามครั้ง และถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
...เฮ้อ....เป็นอะไรไปเนี่ยเรา.....
...ก็แค่คิดว่า....ยุนโฮเขินเรา.....
...ทำไม.....ฉันจะต้องดีใจด้วยเนี่ย?.....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ยุนโฮเดินพาร่างของตัวเองมาจนถึงห้องน้ำในเวลาไม่นาน มือหนาถูกเลื่อนไปวางค้ำไว้ที่บริเวณอ่างล้างหน้า ใบหน้าคมก้มลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยขึ้นมามองใบหน้าของตัวเองที่ถูกสะท้อนกับกระจกใสบานใหญ่ แต่ทันทีที่ดวงตาคมเห็นใบหน้าของตัวเอง มือของเขาก็รีบเลื่อนมาปิดที่ใบหน้าของตัวเองแทบจะทันที
“หวา....หน้าแดงเถือกเลยเรา....”
ใบหน้าคมก้มลงอีกครั้งอย่างเขินอาย ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ และใช้มือกวักน้ำล้างหน้าตัวเองเสียยกใหญ่ พยายามใช้ความเย็นจากของเหลว ช่วยลดอุณหภูมิของใบหน้าที่ร้อนจัดในตอนนี้ให้ลดลง แต่....พยายามเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ามันจะลดลงเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
...ไม่อยากจะเชื่อเลย....
...ว่านักเขียนที่ฉันชื่นชม....
“.....เป็นคนเดียวกัน......กับคนที่ฉันชอบ.....”
เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มือหนาเลื่อนมาปิดที่ปากของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมือออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือหยาบ
...มันเป็นโชคชะตารึเปล่านะ?...
ยุนโฮใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเช็ดหยดน้ำที่ยังเกาะอยู่ออกไปอย่างลวก ๆ ก่อนจะพาร่างของตัวเองออกไปจากห้องน้ำเดินกลับไปยังโต๊ะอาหาร ที่แจจุงกำลังนั่งรออยู่ ระยะทางที่ไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่นานยุนโฮก็เดินมาถึงโต๊ะ และหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งเดิม
“อาหารมาแล้ว กินเลยสิยุนโฮ” แจจุงพูด ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ตัวเองสั่งไว้บ้าง ท่าทางการกินที่ดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ จนเหมือนกับเด็ก ๆ ทำให้ยุนโฮแอบลอบยิ้มอยู่คนเดียว และเริ่มกินอาหารของตัวเองบ้าง
“ยุนโฮ รู้มั้ย เมื่อวานน่ะนะ.....” และแล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แจจุงชวนคุยบ้าง กินบ้าง ทำให้มื้ออาหารมื้อนี้ค่อนข้างจะครื้นเครง ถึงแม้ว่าจะอยู่กันแค่สองคน แต่บรรยากาศที่อบอุ่นนั้นกลับแผ่กว้างออกไปจนคนอื่นรู้สึกได้
พูดคุย หัวเราะ หยอกเอิน และกลับมาก้มหน้าก้มตากินอีกครั้ง วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงไม่นาน แต่ยุนโฮและแจจุงต่างรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนกับเป็นเวลาที่ผ่านมายาวนานแล้วก็ว่าได้...
...การที่เราเปิดใจต่อกัน....
...มันคงจะเป็นความสุขที่ล้นเหลือ....จนเราไม่อาจจะเก็บไว้ได้เพียงคนเดียว...
...มันมีมาก....จนเราต้องแบ่งปันให้กันและกัน....
...จึงทำให้คนสองคน....มีความสุขได้มากขนาดนี้....
“ฮ้า~ อิ่มชะมัดเลย”
ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน และใช้มือลูบที่หน้าท้อง เป็นการบอกว่าอิ่มแล้วจริง ๆ แต่พอต่างฝ่ายต่างได้ยินและเห็นการกระทำที่เหมือนกับตัวเองเปี๊ยบ ทำให้ทั้งสองจ้องตากันตาไม่กระพริบ
“นายเลียนแบบฉันทำไม??”
คราวนี้ก็หลุดพูดออกมาพร้อมกันอีก สายตาของทั้งคู่จ้องกันอย่างอาฆาต ต่างฝ่ายต่างทำหน้าตาหาเรื่องกันสุด ๆ และ.....
“อุ๊บ...........ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!!!”
สุดท้าย...ทั้งสองก็หลุดขำออกมาทั้งคู่จนได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าสิ่งที่ทำลงไปนี้เป็นการกระทำที่เหมือนกับเด็กหัวแข็งไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งคุยกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกสบายใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น
หลังจากนั่งคุยกันอีกสักพัก ยุนโฮก็อาสาเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เอง ทำเอาแจจุงยิ้มแก้มปริ แถมกอดยุนโฮไปซะเต็มรัก แต่แจจุงจะรู้บ้างหรือเปล่านะ...ว่าการกระทำแบบนี้ ทำให้ยุนโฮหัวใจเต้นระรัวจนเกือบจะเก็บอาการดีใจไว้ไม่ไหว
...วะ...หวา....นี้ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย?...
...ฉันโดนแจจุงกอด.....แถมกอดซะแน่นแบบนี้....
...ทำไงดีล่ะ...มันหุบยิ้มไม่ลงซะแล้ว....
...สงสัย....วันนี้ฉันคงจะกลายเป็นคนบ้าแน่ ๆ....
ร่างของชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากร้านอาหาร ขาสองคู่ก้าวเดินไปอย่างไม่รีบร้อน เดินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้กำหนดจุดหมายปลายทางไว้แน่นอน บางทีเห็นร้านที่มีของน่าสนใจก็เดินเข้าไปแวะบ้าง หาของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามร้านริมทางบ้าง
“ยุนโฮ ดูนี่สิ สวยมั้ย ๆ”
มือเรียวหยิบสร้อยคอรูปร่างแปลกตาแต่ดูสวยงามขึ้นมาหนึ่งเส้น พลางยื่นไปวางไว้ในมือของยุนโฮ มือหนายกสร้อยคอขึ้นสูง และใช้สายตาจ้องมองพิจารณาอย่างตั้งใจ
“อื้ม ก็สวยดีนี่ นายชอบหรอ?”
ยุนโฮตอบและถามต่อในคราวเดียวกัน แจจุงพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบกลับ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นนั้นจากมือของยุนโฮกลับคืน และก้มหน้าก้มตาดูของประดับชิ้นอื่นต่อ
ยุนโฮเห็นว่าคงจะอีกนานกว่าแจจุงจะเลือกเครื่องประดับเสร็จ เลยตัดสินใจบอกแจจุงว่าจะไปรอแถวแม่น้ำฮันท่าจะดีกว่า มือหนาจัดการเปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบกล้องประจำตัวของตัวเองขึ้นมา ระหว่างที่รอคนที่อยู่ในร้าน ยุนโฮก็ถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้ไปได้เยอะพอสมควรเชียวล่ะ
“ว้าว~ นายเป็นช่างภาพหรอเนี่ย~”
จู่ ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ยุนโฮที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายรูปก็สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าคมหันไปมองตามทางที่เสียงดังมา ดวงตาคมที่เห็นใบหน้าของอีกคนที่กำลังยิ้มอยู่อย่างน่ารัก ริมฝีปากหนาจึงเผยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างเก็บไว้ไม่ไหว
“อื้ม...นายสนใจจะถ่ายรูปคู่กันมั้ยล่ะ?”
“ได้หรอ? เอาสิ ๆ ถ่ายเลย ๆ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปตั้งนานแล้ว”
ดวงตากลมโตฉายประกายความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มหวานเผยออกมาราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นจากผู้ใหญ่ แจจุงจัดการใช้มือเซ็ททรงผมให้เนี๊ยบยิ่งกว่าเดิม ทำเอายุนโฮที่ยืนมองอยู่หลุดหัวเราะออกมาเสียชุดใหญ๋
“ฮ่า ๆ ๆ!! ไม่ต้องเนี๊ยบขนาดนั้นก็ได้”
พูดไปหัวเราะไป แจจุงที่กำลังจัดทรงให้เรียบร้อยถึงกับชะงัก ร่างบางส่งสายตาค้อนไปให้คนข้าง ๆ เสียวงใหญ่ ก่อนจะเข้าไปยืนใกล้ ๆ กันกับร่างสูงเพื่อถ่ายรูป
แขนแกร่งเลื่อนไปโอบไหล่บอบบางให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยกับการกระทำแบบนั้น ไหล่ข้างหนึ่งของแจจุงซบไปกับอกกว้างของยุนโฮ รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของร่างสูง ยุนโฮยืดแขนข้างทื่ถือกล้องไว้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายรูป
“เอ้า อยากโพสท่าอะไรก็เอาเลย”
ยุนโฮพูดด้วยรอยยิ้ม แจจุงไม่คิดอะไรมาก ชูสองนิ้วเรียวของตัวเองขึ้นมาโพสท่าคลาสสิค พร้อมกับรอยยิ้มประจำตัวที่เสริมความสดใสให้กับตัวเอง
“ฉันจะถ่ายแล้วนะ 3…2…1….”
ประโยคที่สิ้นสุดลง กล้องกำลังจะบันทึกภาพของทั้งคู่เก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ก่อนที่จะได้เก็บภาพนั้นไว้ แขนเรียวของแจจุงที่โพสท่าไว้ก็ลดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าอื่น และ....
‘แชะ!’
...เหมือนโลกหยุดหมุน....
ภาพที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะออกมาเป็นแนวพี่น้องที่น่ารัก คนเป็นพี่โอบไหล่น้องชายคล้ายกับว่าจะปกป้องคน ๆ นี้ไว้เสมอ อีกคนก็โชว์ความสดใสร่าเริงที่มีอยู่มากให้ได้เห็น ซึ่งจริง ๆ แล้วกลับเป็นน้องชายต่างหากที่ปกป้องพี่ชาย แต่ภาพที่ได้กลับกลายเป็นว่า...
...คนสองคนกำลังกอดกันอย่างอบอุ่น....
ยุนโฮยืนแข็งทื่อจนแทบจะกลายเป็นท่อนไม้ ปกติเขาเป็นคนที่คิดอะไรได้รวดเร็ว แต่รู้สึกว่าตอนนี้สมองที่แสนฉลาดนั้นมันตื้อไปหมด แขนแกร่งยังคงโอบไหล่บางไว้เช่นเดิม และวงแขนเล็กก็ยังคงกอดเอวของร่างสูงไว้แน่น
...ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่นาน....
...แต่ทั้งสองคน....กลับรู้สึกราวกับว่าเวลาของโลกมันหยุดลง....
แจจุงคลายวงแขนออก พร้อม ๆ กับที่ยุนโฮลดแขนลงและเก็บกล้องลงกระเป๋าใบใหญ่ ใบหน้าคมหันหน้าไปอีกทาง และมองไปที่ท้องฟ้าแก้เก้อ ส่วนแจจุงก็ก้มหน้างุด หันหน้าไปอีกทางเช่นกัน นิ้วชี้เรียวเขี่ยที่แก้มเนียนใสไปมาเป็นการแก้เขิน
...ทำไมจู่ ๆ ฉันถึงอยากจะกอดเค้านะ....
...แค่เผลอคิดไปนิดเดียว....
...ร่างกาย....ก็ทำไปก่อนล่วงหน้าซะแล้ว....
...อ๋า.....ไม่จริงใช่มั้ย.....รึว่า....ฉันจะ.....
“ยุนโฮ....ฉันอยากกลับบ้านแล้วอ่ะ”
แจจุงพูดขึ้นทำลายความเงียบงันระหว่างเขาและยุนโฮ ร่างสูงหันไปมองตามทางของเจ้าของเสียง ซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าเขาไปเล็กน้อยแล้ว ยุนโฮจึงเดินไปเคียงข้างร่างบางเป็นเพื่อนเดินกลับ
“เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
ยุนโฮพูดห้วน ๆ พร้อมกับเดินนำหน้าไปเล็กน้อย เหมือนกับว่ารู้เส้นทางบ้านของแจจุงเป็นอย่างดี แต่ร่างบางกลับไม่รู้ทันกับท่าทางแปลก ๆ ของยุนโฮเลยสักนิด
ร่างสูงใหญ่ของยุนโฮและร่างบางของแจจุงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ทิวทัศน์โดยรอบถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่จำนวนมาก ที่ต่างพากันเดินขวักไขว่เสียเยอะแยะไปหมด แต่แจจุงรู้สึกราวกับว่าโดยรอบนั้นมันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงสีขาวที่ปกคลุมไปโดยรอบ รับรู้ได้แค่เพียงใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเขา
แจจุงที่ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังยุนโฮอยู่เล็กน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสวยจดจ้องไปยังร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่ง ท่อนแขนที่ดูมีกล้ามนิด ๆ เหมาะกับหุ่นของผู้ชาย ช่วงขาเรียวยาวที่ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่เพียงคนเดียว แต่....เขากลับรู้สึกว่ายุนโฮเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เขาเดินตามได้ทัน ทำให้เขาแอบยืนอมยิ้มกับความใจดีของยุนโฮที่มอบมาให้เขา
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันระหว่างทางเดิน ต่างฝ่ายต่างเดินกันไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทาง หันไปมองดูสภาพรอบ ๆ เมืองที่คุ้นเคยอยู่แล้วอย่างไม่วางตา เช่นเดียวกับช่วงขาที่ก้าวต่อไปไม่หยุดเช่นกัน
“หืม?”
ร่างบางที่กำลังสนใจกับการมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ของเมือง ส่งเสียงสงสัยอยู่ในลำคอ ที่จู่ ๆ มือของเขาก็มีมือของใครสักคนมาจับไว้แน่น ใบหน้ามนก้มลงมองที่มือของตัวเอง ที่ตอนนี้มีมือใหญ่กำลังจับกุมไว้แน่นแต่อ่อนโยนยิ่งนัก ดวงตากลมโตมองไปตามแขนของคน ๆ นั้นไล่ไปเรื่อย ๆ และเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
ยุนโฮยังคงเดินนำหน้าแจจุงอยู่เล็กน้อยเช่นเดิม แต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตรงที่เขาเลื่อนมือไปจับมือกับแจจุงที่เดินอยู่ด้านหลัง ใบหน้าคมยังคงจ้องตรงไปตามทางตรงหน้า แจจุงทำหน้าตาสงสัย เหมือนจะทำให้คนตรงหน้าได้รู้ถึงอาการของเขา ทั้ง ๆ ที่ยุนโฮไม่ได้หันมามองด้านหลังแม้แต่นิด แต่พอดวงตากลมโตเหลือบไปมองบริเวณใบหูของยุนโฮ ก็ต้องยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก
...เอ๋???....นั่นมัน......
...นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย??....
...หูของยุนโฮ......แดง......
...เค้าเขินงั้นหรอ?...
แจจุงที่เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝันกระพริบตาปริบ ๆ ระหว่างที่เดินไป บางทียุนโฮก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าจะมองแต่ทางเดินอย่างเดียว บางทีก็ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลื่อนมาปิดบริเวณใบหน้าบ้าง พอสมองของแจจุงได้คิดประมวลผลอย่างดีแล้ว ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
...คิก ๆ.....ทำตัวน่ารักจังนะ.....
...มือของนาย.....ที่กำลังจับมือฉัน....
...มันอบอุ่นมาก ๆ เลยล่ะ....ยุนโฮ....
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปช้าเร็วขนาดไหน แต่ตอนนี้ร่างของทั้งสองกำลังยืนหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของแจจุง ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตูรั้วเตี้ยที่หน้าบ้าน มือยังคงจับกันไว้แน่นเช่นเดิม ใบหน้าของทั้งคู่ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจนู่นนี่รอบ ๆ บ้าน ทั้ง ๆ ที่แจจุงเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังหันหน้าสำรวจบ้านตัวเองเสียยังกับเป็นแขกซะอย่างนั้น
“ถึงบ้านนายแล้วนะ” ยุนโฮเริ่มพูดก่อน แจจุงก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงในลำคอเป็นการตอบกลับ
“อื้อ...”
มือเรียวผละออกมาจากมือหนาที่แสนอบอุ่นนั้น ประตูรั้วถูกเปิดและปิดด้วยฝีมือของแจจุง ร่างบางหันหลังกลับมาส่งยิ้มให้กับร่างสูงอีกครั้งหนึ่ง
“กลับบ้านดี ๆ ล่ะ ยุนโฮ”
เสียงหวานบวกกับรอยยิ้มสวยที่ยุนโฮได้รับนั้น มันทำให้ร่างกายของเขาถูกตรึงไว้นิ่งอย่างไม่รู้ตัว เสียงเปิดและปิดประตูที่ดังขึ้นนั้นไม่ได้เรียกสติของร่างสูงให้กลับมาเลยสักนิด
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยุนโฮก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสมองประมวลเหตุการณ์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวกลม ๆ สะบัดไปมาอย่างแรงสองสามที ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนมาสอดที่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง
“หืม?”
มือที่สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋า ยุนโฮหยิบของชิ้นนั้นออกมาดู ก็พบว่าเป็นสร้อยคอเงินรูปกางเขนที่มีขายอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ดูสวยงามยิ่งนัก ที่มีเศษกระดาษแผ่นเล็กแนบติดมาด้วย ยุนโฮจัดการเก็บสร้อยนั้นลงในกระเป๋าเช่นเดิม ก่อนจะเปิดเศษกระดาษที่ถูกพับนั้นออก
‘ถึง...ยุนโฮ
เป็นไงบ้าง~ สร้อยที่ฉันเลือกให้ สวยมั้ยล่ะ?
ฉันก็มีสร้อยที่เหมือนกันอยู่อีกเส้นนึงนะ เราจะได้เอาไว้ใส่คู่กัน ^ ^
แล้วก็ อีกอย่างนะ เย็นนี้ นาย.........’
นัยน์ตาคมค่อย ๆ อ่านข้อความที่แจจุงแอบส่งให้ตัวเองอย่างช้า ๆ จนเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ทำให้ยุนโฮอดที่จะยืนยิ้มกว้างไม่ได้ ยุนโฮขอให้เขาทำอะไรบางอย่างให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาแทบจะยอมทำให้โดยที่ไม่ต้องขอด้วยซ้ำ
เศษกระดาษใบเล็กถูกพับเก็บและใส่ลงกระเป๋าไว้เช่นเดิม ยุนโฮหันไปมองบ้านของแจจุงอีกครั้งเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินกลับบ้านของตัวเองไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข...
+:+:+:+:+:+:+ Love is All Around +:+:+:+:+:+:+
‘แอ๊ด~...’
เสียงเปิดประตูบ้านที่แผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่แผ่วเบาเช่นกัน แจจุงจัดการถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านอย่างระเกะระกะตามนิสัยของผู้ชาย ขาเรียวสมส่วนก้าวเข้ามาภายในบริเวณบ้านอย่างช้า ๆ และสบายอารมณ์เป็นที่สุด
‘หมับ~ ฟอด~!!’
“เฮ้ย!!!!???”
ร่างบางสะดุ้งสุดตัว มือเรียวเลื่อนมาแนบบริเวณแก้มด้านที่ถูกใครสักคนมาหอมแก้ม แต่จะหันหน้ากลับไปมองตอนนี้ก็ไม่ไหว เพราะคน ๆ นั้นเรียกได้ว่ากระโดดมากอดเขาเสียแน่นแบบกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง จนเขายืนตัวตรงยังไม่ไหวเลย กว่าแจจุงจะกลับมายืนตัวตรงได้ ก็ต้องรอให้เจ้าของอ้อมกอดนั้นผละออกไปเสียเอง
“อ๊า~~~ พี่แจจุง~~~ ในที่สุดพี่ก็ออกมาจากห้องขังซะที ผมละคิดถึ๊ง~ คิดถึงพี่ชะมัด”
เสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งแจจุงคิดว่าเป็นเสียงที่ฟังดูกวนส้นที่สุดในชีวิต และเสียงแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชางมิน น้องชายตัวแสบของเขานี่เอง
พอรู้ว่าคนที่มาหอมแก้มและกอดเขาเสียแน่นเป็นใคร แจจุงจึงส่งยิ้มปานนางฟ้ามาจุติไปให้น้องชายสุดที่รัก ทำเอาชางมินแทบจะโผเข้าไปกอดอีกครั้ง....ถ้าไม่โดนแจจุงเขกหัวซะก่อนน่ะนะ
‘โป๊กกก~!?’
“โอ๊ยยยยยยยย เจ็บน่ะพี่!? นี้มือคนหรือค้อนกันแน่เนี่ย!!”
ชางมินเลื่อนมือข้างหนึ่งไปถูเบา ๆ บริเวณที่โดนเขกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ความเจ็บที่โดนเข้าไปเมื่อกี้ทำเอาน้ำตาเล็ด ท่าทางที่น่าสงสารของชางมินทำเอาแจจุงหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาอย่างเอือม ๆ
“แล้วใครใช้ให้มากอดพี่เสียแน่นขนาดนั้นห๊ะ! กะจะให้พี่ตายเลยรึไง!”
แจจุงพูดเสียงดุ พร้อมกับทำท่าที่คิดว่าตัวเองน่าจะทำได้น่ากลัวมาก ๆ แต่...เจ้าตัวไม่เคยรู้เลย ว่าสำหรับชางมินแล้ว ไม่ว่าแจจุงจะทำท่าให้น่ากลัวยังไง เขาก็มองว่าพี่ชายตัวเองน่ารักอยู่ดีแหละ
“ฮู้ย~ น่ากลัวตะ....”
“พอ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว พี่จะขึ้นไปห้องก่อน เดี๋ยวลงมา ชางมินก็นั่งกินขนมรอไปก่อนละกัน”
แจจุงไม่ปล่อยโอกาสให้ชางมินได้ต่อปากต่อคำ ร่างบางจัดการตัดบทชิงขึ้นไปบนห้องของตัวเองเสียก่อน ปล่อยให้ชางมินยืนลูบหัวตรงที่ถูกเขกอยู่ตรงนั้นคนเดียว โดยที่ชางมินนั้นไม่ได้รู้เลยว่า แจจุงที่กำลังเดินขึ้นไปห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นบนนั้น กำลังแอบหัวเราะกับอาการเอ๋อของเขาอยู่เงียบ ๆ
...ได้แกล้งชางมินแล้ว...อิอิ...
...ก็รู้ละน้า~...ว่าคิดถึงพี่มากขนาดไหน...
...แต่พอเห็นหน้าตาน้องชายสุดที่รักทีไร....
...มันก็อยากแกล้งขึ้นมาทุกทีสิน้า~....
“.........อะไรว่ะ ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำเลย ชิส์” ชางมินทำท่าฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นยืดกอดอกอย่างเซ็ง ๆ
...ฮึ่ย....คิดว่าไม่มีใครเห็นรึไง...
...เมื่อกี้อ่ะ....มากับใครก็ไม่รู้....
...แต่ที่แน่ ๆ.....สงสัยคน ๆ นั้นต้องชอบพี่แจจุงแหงเลย....
“ฮึ่ย ๆ ๆ ก็พี่แจจุงน่ารักขนาดนี้ คนเป็นน้องอย่างเราก็ต้องหวงอยู่แล้ว!!”
ชางมินตะโกนอย่างโมโหออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปที่โซฟา มือเรียวจัดการหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และหยิบขนมห่อใหญ่มากินเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง...
ทางด้านแจจุงที่เดินกำลังจะถึงหน้าห้องตัวเอง พอได้ยินเสียงตะโกนของชางมิน ทำให้ขาเรียวต้องชะงักกึก ก่อนจะหันไปมองที่บันไดเนื่องจากงงกับอาการของน้องชายตัวเอง
...อ้าว...เป็นอะไรไปแล้วล่ะนั่น?...
...แค่ไม่ได้ต่อปากต่อคำ....ถึงกับลงแดงเชียวเรอะ?...
แจจุงผู้ไม่รู้ถึงความหวงพี่ชายของชางมินเลยแม้แต่นิด ได้แต่ยืนส่ายหัวเอือมระอากับอาการของน้องชาย เมื่อปลงกับสภาพของชางมินได้แล้ว ขาเรียวก็ก้าวไปยังหน้าห้องของตัวเองต่อ
“อ๊ะ นี่มัน...”
ร่างบางที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง เห็นกระดาษใบเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งแปะอยู่ที่บานประตู ดวงตากลมโตกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป
‘ไง...แจจุง
วันนี้ฉันไม่ว่างที่จะมานั่งคุยกับนายหรอกนะ
เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ กรุณาจัดเวลาให้ว่างทั้งวันด้วยนะ คุณนักเขียนชื่อดัง
เพราะฉันจะคุย ๆ ๆ กับนายให้หายคิดถึงกันไปข้างนึงเลย
หัดใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้างได้ม่ะ? วัน ๆ อยู่แต่ในห้องไม่เบื่อบ้างรึไง~
แล้วทีหลังก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลากับชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง
ไม่ใช่กินข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน คอยดูเหอะ ฉันจะสาปแช่งให้นายอ้วนเป็นตุ่มเลย~!
จาก...จุนซู’
แจจุงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ กับประโยคที่จุนซูเขียนทิ้งไว้ให้เขา มือเรียวจัดการดึงกระดาษที่แปะไว้ออกมา ก้มลงมองข้อความในกระดาษนั้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข ข้อความที่ดูเหมือนว่าจุนซูจะด่าเขา แต่จริง ๆ แล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและเอาใจใส่เขาอยู่มากเลยทีเดียว
...ฉัน....ลืมช่วงเวลาแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...
...แค่ข้อความที่เพื่อนเขียนทิ้งไว้...
...มันทำให้เรา....ยิ้มได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ?....
...ความรัก....ความห่วงใยที่ส่งผ่านมาทางตัวอักษร....
...มันมีค่าต่อคนที่ได้รับมากจริง ๆ....
‘แอ๊ด~’
ประตูบานเล็กถูกเปิดและปิดลง ขาเรียวยาวก้าวไม่กี่ก้าวก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด ตรงนี้เป็นที่เขามักจะนั่งเขียนนิยายเรื่องใหม่ ๆ อยู่เสมอ แจจุงจัดการวางกระดาษที่จุนซูเขียนข้อความทิ้งไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบปากกาและสมุดเขียนพล็อตเรื่องนิยายของเขาขึ้นมา
มือขวาจับปากกามาทาบไว้ที่แก้ม มือซ้ายเคาะบนกระดาษอย่างใช้ความคิด คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และเปลือกตาบางที่ปิดดวงตากลมโตสินิลไว้จนมิด แจจุงทำท่าแบบนี้อยู่สักพัก เพื่อนึกพล็อตเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของเขา เขาพยายามคิดทบทวนสำหรับสิ่งที่เขาได้พบเจอตลอดช่วงเวลาในวันนี้...ช่วงเวลาดี ๆ ที่เขาไม่ได้พบมาแสนนาน...
...วันนี้....ฉันก็ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้วสินะ....
...ความรักน่ะ....ไม่เห็นจำเป็นว่า....จะต้องเป็นแบบ ‘คู่รัก’ ซะหน่อย...
...ความรักมีทั้งแบบเพื่อน....แบบพี่น้อง....แบบพ่อแม่ลูก....แบบแฟน....
...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันมีอยู่มากมายขนาดนี้....
...ทั้ง ๆ ที่ความรักมันอยู่รอบ ๆ เราเสมอมา....
...ทำไมฉันถึงได้มองข้ามสิ่งดี ๆ แบบนี้ไปได้นะ?....
ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น ปากกาที่วางทาบไว้กับแก้ม ถูกเลื่อนให้ปลายปากกาจรดลงบนแผ่นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ และขีดเขียนออกมาเป็นตัวอักษรที่ไม่สวยและไม่หยาบจนเกินไป
...บางที....การที่เรามัวแต่คิดมากเกินไป....
...มันอาจจะทำให้เรา....ลืมมองสิ่งดี ๆ ที่อยู่ข้างกายเราก็ได้เนอะ...
...ทำไม....เราไม่ลองมองไปรอบ ๆ กายเราดูบ้างนะ....
...บางที....เราอาจจะได้รับความรักมากมายอย่างล้นเหลือ....โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้....
ปลายปากกาหยุดลง มือเรียววางปากกาทับไว้บนกระดาษแผ่นเดิม ดวงตากลมโตมองชื่อเรื่องสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของตัวเอง ที่เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องดี ๆ ในวันนี้ที่เขาได้เจอ... ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจอีกครั้งอย่างมีความสุข...
‘...Love is All Around…’
((rrRrrrRrrrrR))
ติ๊ด...
“ฮัลโหล.......ว่าไง ยุนโฮ”
...สำหรับตอนนี้....
...ผมว่า....ผมเจอความรักหลายรูปแบบแล้วล่ะ...
...ตอนนี้.....คุณเจอ ‘ความรัก’ รึยังครับ?....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)